เฌอปราง

ทำความรู้จักชีวิตที่เหมือนการทดลองของ เฌอปราง BNK48

ด้วยความเนิร์ดที่มี ความเคมีที่ตัวเองรัก และความเป็นเด็กสาวโลกสดใส กลายเป็นส่วนผสมสำคัญที่ทำให้ เฌอปราง อารีย์กุล กัปตันแห่ง BNK48 เปลี่ยนสถานะจากประกายไฟดวงเล็กๆ เกิดเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่โยนใส่คนรอบตัวตลอดเวลา แน่นอนว่าไม่มีใครหลบพลังทำลายล้างของระเบิดลูกนี้ได้

เฌอปราง

เรารู้มาว่าเฌอปรางกำลังทำธีสิสถึงสองเล่ม ในขณะที่ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อย

     มันเริ่มจากตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 เราอยากหาอะไรทำไปเรื่อยๆ เพราะเป็นคนเบื่อง่าย อยากทำอะไรอย่างอื่นมากกว่านั่งเรียนอย่างเดียว และคณะที่เราเรียนต้องใช้เวลานาน 5 ปีกว่าจะจบตามหลักสูตร พอขึ้นชั้นปีที่ 3 เราอยากรู้ว่าก่อนที่จะเรียนจบออกไปจริงๆ นั้น เราควรจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง ก็เลยเดินไปถามอาจารย์ว่าระหว่างนี้มีอะไรให้เราทำบ้างไหม อาจารย์ก็มอบหมายเรื่อง The Blue Bottle Experiment หรือสารที่เปลี่ยนสีได้ด้วยตัวมันเอง ให้เราไปเป็นผู้ช่วยทำงาน

     ส่วนโปรเจ็กต์จบโดยส่วนตัวของเราเอง ก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะเป็นเรื่องของตัวแปรที่ทำให้สสารเปลี่ยนสีกลับไปกลับมา ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากงานวิจัยของอาจารย์ งาน The Blue Bottle  Experiment ที่เราไปช่วยทำงาน อาจารย์ก็เอาไปใช้สอนในเรื่องของ Chemical Kinetics (จลนพลศาสตร์เคมี) ในชั้นเรียนด้วยนะ (พูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจ)

 

ถามจริงๆ ว่าชีวิตนักวิทยาศาสตร์ในห้องแล็บ เขาทำงานอะไร เขาเรียนรู้อะไร

     นักเคมีก็เรียนรู้เรื่องปฏิกิริยาเคมี ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยนะ เช่น ถ้าเราเอาสารตัวนี้ไปใส่ในขวดแก้วแล้วเขย่าๆ สารก็จะเปลี่ยนสีไปเพราะมีอะไรเข้ามาทำปฏิกิริยากับสารตัวนี้ เรารู้ว่ามันคือออกซิเจน เมื่อเขย่าขวดจนออกซิเจนหมด สารก็จะหยุดเปลี่ยนสี… เดี๋ยวนะ คุณไม่งงใช่ไหม (หัวเราะ)

     คือจริงๆ แล้วเรื่องวิทยาศาสตร์ ก็คิดแบบเดียวกับหลักคณิตศาสตร์ สำหรับนักวิทยาศาสตร์อย่างเรา เราเป็นคนขี้สงสัยมาตั้งแต่เด็กๆ เลย เช่น กล้องถ่ายรูปใช้วิธีอะไรในการบันทึกภาพ โทรศัพท์ทำงานยังไง ระบบอินเทอร์เน็ตทำงานยังไง มันเป็นเรื่องของการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีทั้งนั้น และมีจุดเริ่มต้นที่วิทยาศาสตร์ เราจึงเลือกเรียนในสายวิทยาศาสตร์ เทียบระหว่างศาสตร์สามเรื่องหลักๆ อย่างฟิสิกส์ เคมี และชีวะ เรารู้สึกชอบวิชาเคมีที่สุด เพราะเป็นวิชาที่อยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างฟิสิกส์กับชีวะ แต่พอเรียนไปเรื่อยๆ เราก็พบว่าตัวเองสนใจเรื่องของฟิสิกส์มากขึ้น เพราะการศึกษาอะตอมไม่ใช่แค่เรื่องสสารแล้ว แต่มันมีเรื่องที่มากขึ้นไปกว่านั้น เรากำลังสนุกกับทฤษฎีควอนตัมมากขึ้น

 

ฟังดูนามธรรมที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เรานึกว่าเหมือนไปดูคนกำลังทำขนมชูครีม แล้วก็เกิดสงสัย เอ๊ะ… เขาทำได้อย่างไรนะ

     (หัวเราะ) ใช่ๆ เรื่องแบบนี้เราก็ชอบมาก (ลากเสียงยาว) เราชอบไปนั่งดูเวลาเขาทำขนมทำไอศกรีม อยากรู้ว่าเขาทำยังไง มีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยไหม แต่ในการทำขนมเหล่านี้ มีความลับเบื้องหลังและรายละเอียดลึกซึ้งที่เขาไม่บอกอยู่ เราก็ต้องไปค้นหา ไปศึกษา เราชอบเสิร์ชข้อมูลสอนทำขนมมาอ่าน หรือลงมือทำเลยถ้ามีโอกาส อย่างแต่ก่อนเรามีจุดขี้แมลงวันอยู่บนจมูก ก็ไปอ่านเจอว่าปูนแดงสามารถกัดเอาขี้แมลงวันออกไปได้ เราเลยลองเอามาแต้ม แต่ก่อนจะลงมือทำ เราก็ต้องมีความรู้อยู่บ้างแล้วว่าปูนแดงมีสถานะเป็นเบส เบสมีฤทธิ์กัดกร่อนผิวเราทีละนิดๆ ซึ่งสามารถเอาเม็ดสีหรือจุดด่างดำพวกนี้ออกไปได้ ทำให้ขี้แมลงวันจางลง

 

ทำไมถึงกับกล้าเอาหน้าตัวเองไปเสี่ยงทำการทดลองเคมี

     ก็เพราะรู้ว่าความเป็นเบสของปูนแดงไม่ได้รุนแรงระดับทำลายล้าง คนสมัยก่อนกินปูนแดงคู่กับหมากเพื่ออะไร ก็เพื่อฆ่าเชื้อโรคในปาก พอรู้แบบนี้ เราก็ค่อยๆ แต้มไปที่ขี้แมลงวันบนจมูกอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เนื้อปูนกระจายตัว แล้วขี้แมลงวันบนหน้าเราก็จางลง เห็นมั้ย… เย่! (ยกมือขึ้นกำหมัด)

 

มีการทดลองในชีวิตตัวเองครั้งไหนที่ผิดพลาดบ้าง

     มันไม่ขนาดนั้นหรอกนะ เราเชื่อว่าความผิดพลาดทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไข แค่เราจะแก้มันแบบไหน ถ้าสมมติการทดลองตรงจมูกเราเกิดความผิดพลาด ก็คงต้องรักษาแผล แล้วก็ต้องเรียนรู้แล้วว่าอย่าไปทำอีก

 

การตัดสินใจมาเป็นไอดอลล่ะ ถือเป็นการทดลองของชีวิตไหม

     ใช่เลย มันเป็นการทดลองชีวิตแบบสุดขีดมากๆ แต่เมื่อมีโอกาสได้มาทำแล้ว ทำไมเราจะไม่ทำ ตอนส่งใบสมัครเพื่อเข้า BNK48 เราคิดว่าถ้าเขารับนะ เดี๋ยวค่อยไปฝึกร้องฝึกเต้นเอา ถ้าเขาไม่รับ ก็แค่กลับไปใช้ชีวิตเดิมๆ ของตัวเอง ที่เราสมัครเพราะชอบวง AKB48 เราชอบคอนเซ็ปต์ของการเป็นไอดอลที่วงนี้สร้างขึ้น ไม่มีที่ไหนหรอก ที่จะรับเด็กผู้หญิงที่ไม่เป็นอะไรเลย ทุกอย่างเป็นศูนย์ หรือเป็นคนที่พร้อมจะออกไปทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่แรก ค่อยๆ เอามาฝึกฝนพัฒนา มีแค่ที่นี่เท่านั้น

     เราได้ฝึกการขึ้นแสดงบนเวทีหรือเธียเตอร์ แต่ก็ยังไปทำงานด้านอื่นๆ ได้ด้วย เมมเบอร์หลายคนของ AKB48 พออยู่ในวงสักพัก เมื่อเขาเจอทางเดินต่อไปข้างหน้าของตัวเอง เขาก็ไปต่อ ออกจากวงไป ซึ่งสำหรับเรา ถ้ามีงานในวงการบันเทิงมอบหมายมาให้ เราก็เต็มใจเข้าไปทำ และยิ่งถ้ามีงานในสายวิทยาศาสตร์เข้ามา เราก็จะยินดีด้วยเช่นกัน ไม่มีที่ไหนที่ทำให้เราสามารถขึ้นเวทีพร้อมกับเพื่อนๆ น้องๆ ได้ขนาดนี้แล้ว และถ้าไม่มีคนในทีมเราเองก็คงไม่ได้ขึ้นเวทีด้วยเหมือนกัน เพราะ BNK48 คือการช่วยเหลือกันในกรุ๊ป แต่ละคนเอาจุดเด่นจุดด้อยของตัวเองออกมาทดลอง และผลการทดลองนั้นทำให้พวกเราได้ยืนอยู่บนเวทีด้วยกัน

เฌอปราง

เรารู้ เราเห็นว่าการเป็นดาราหรือนักร้องนั้นคืออะไร แต่เราไม่เข้าใจว่าไอดอลนั้นเป็นเพื่ออะไร สำหรับเด็กสาวรุ่นของคุณ อยากให้คุณเล่าให้ฟังหน่อย

     เราว่าไอดอลคือการเป็นตัวอย่าง เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น เรามีไอดอลของตัวเองที่อยู่วง AKB48 เขาเป็นเด็กธรรมดา เด็กบ้านๆ เข้ามาในวงแล้วก็ฝึกฝนตัวเอง ทำนั่นทำนี่ เมื่อเราติดตามดูชีวิตของเขาไปเรื่อยๆ ก็ได้รับแรงบันดาลใจว่าเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้สิ มีอยู่วันหนึ่ง เราเข้าชั้นเรียนห้าวิชารวด และต้องไปทำแล็บต่อด้วย เราเหนื่อยมากๆ แต่พอเปิดคลิปของเขาขึ้นมาดู เราเห็นเขายิ้มกับการฝึกฝนอย่างหนัก แล้วเขาก็แค่ฝึกซ้อมต่อไป ฝึกซ้อมเพื่อสักวันจะได้ขึ้นแสดง เราก็รู้สึกขึ้นมาเลย เฮ้ย! มีคนที่เป็นเหมือนเราเลย คนที่กำลังสู้กับความฝันของตัวเองอยู่ แล้วทำไมเราจะไม่ทำบ้าง

 

ในฐานะที่คุณเป็นกัปตันของทีม มาถึงวันนี้ความรับผิดชอบนั้นเพิ่มมากขึ้นไหม

     วันแรกที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นกัปตันทีมหรือหัวหน้าวง เขาบอกเราว่าไม่ต้องกลัว เป็นชั่วคราวไปก่อน (หัวเราะ) ตอนนั้นเข้าใจว่าที่เขาเลือกเรา เพราะเรามีความสามารถในการประสานงานที่ดีที่สุด หน้าที่ของเราคือประสานงานระหว่างน้องๆ กับทีมงาน คอยดูว่าอะไรโอเค อะไรไม่โอเค แรกๆ เราก็โดนติงมาว่าดุไป เขาบอกว่าไม่ต้องซีเรียสกับน้องๆ ขนาดนั้นก็ได้ ตอนนี้ก็เลยยังคงทำหน้าที่ประสานงานให้อยู่ แต่ไม่ค่อยดุแล้ว (หัวเราะ)

 

เรากลับคิดแตกต่างไป เราพบว่าแฟนวงของคุณชอบดูเวลาที่เมมเบอร์ในวงทำอะไรเด๋อๆ พลาดๆ ในขณะที่คุณกลับคิดว่าตัวเองและทีมต้องเป๊ะมาก

     เออ เนอะ ก็ประมาณว่า เอ้ย ปล่อยเด๋อออกไปได้ไง ตอนแรกๆ เราคิดเสมอเลยว่าตัวเองต้องเพอร์เฟ็กต์ แต่หลังๆ มานี้ เราก็ปล่อยบ้างแล้ว เพราะเชื่อว่าเราก็เป็นธรรมชาติของเรา ธรรมชาติของเราคือสิ่งที่เขาชอบ คงไม่มีใครชอบคนเฟกหรือมีหน้ากาก แต่ว่าก็ต้องวางตัวให้อยู่ในแต่ละที่ได้อย่างเหมาะสม

     สำหรับเรา คนอาจมองว่ามีหลายลุกส์ หลายบุคลิก แต่ความจริงเราเป็นอะไรก็ได้ตามที่เราอยากเป็นในบริบทต่างๆ ที่เหมาะสม อย่างอยู่บนเวที ก็เป็นเฌอปรางที่เล่นอะไรได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าเรื่องการเป็นกัปตันทีม เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน ต่อหน้าน้องๆ การพูดจาก็ต้องระมัดระวัง ยิ่งคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างน้องๆ กับคนดู ยิ่งต้องระวังเรื่องการแสดงออก ต้องคอยคุมสถานการณ์ ต้องมีสติตลอด

 

คือจริงๆ อยากเป็นคนเป๊ะตลอดทุกการแสดงมากกว่านี้

     แน่นอน อยากเป๊ะมากค่ะ แต่รู้แล้วว่าคนเราก็ผิดพลาดกันได้ตลอดเวลา เลยไม่ต้องเป๊ะขนาดนั้น มีมุมหลุดๆ บ้างเป็นกิมมิก เมื่อทุกคนชอบเราก็โอเค (ยิ้มกว้าง) และเราก็สนุกไปด้วย ตอนแรกก็รู้สึกเฟลๆ เหมือนกัน แต่ก็คิดว่าไม่ได้มีอะไรเสียหาย หากพลาดหนักจริงๆ อย่างตอนให้สัมภาษณ์แล้วเขาเขียนผิดความหมาย ก็คงต้องมาปรับที่การพูดของเรา เรื่องการใช้คำพูด และต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น

 

ความคิดแบบเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ เป็นนิสัยเดิม หรือได้มาจากการทำงานใน BNK48

     น่าจะมาจากการทำงานในวง การเป็นบุคคลสาธารณะ ปรับเปลี่ยนให้เราคิดและมีมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ได้เอาความคิดตัวเองมาตั้งว่าต้องใช่ ซึ่งการเอาความคิดตัวเองมาตั้งเป็นอันดับแรกน่ะถูกแล้ว แต่ต้องดูก่อนว่าจะพูดยังไงให้ไม่กระทบหรือเกิดความเสียหายต่อตัวเองและวง

 

จะดีกว่าไหม ถ้าวันนี้คุณไม่ได้เป็นเฌอปราง แห่ง BNK48 คุณจะได้คิด ได้พูด ได้โพสต์อะไรในโซเชียลมีเดียได้สบายๆ

     ไม่เลย เราเป็นคนไม่ติดโซเชียลมีเดีย เรารู้ว่าการโพสต์โซเชียลมีเดียเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อตัวเองสูงมาก เราเรียนรู้เรื่องนี้มาค่อนข้างเยอะ เวลาพูดหรือพิมพ์อะไรลงไปในโซเซียลฯ แล้วมันกระจายออกไป มันย่อมส่งผลถึงเราได้ตลอดเวลา

เฌอปราง

วันนี้คุณพ่อคุณแม่กังวลกับความมีชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามาไหม

     กังวลเรื่องสุขภาพมากกว่า ตอนแรกคุณพ่อไม่อยากให้เข้ามาด้วยซ้ำ แต่เราก็คิดว่าตัวเองโตแล้วนะ เราบอกว่ามันคือการทำงานส่วนหนึ่ง หากไม่ได้มาทำตรงนี้ยังไงต่อไปก็ต้องทำงานอยู่แล้ว แต่สิ่งนี้เป็นแค่ช่วงชีวิตช่วงหนึ่งเท่านั้นที่จะทำได้ เพราะหากวันที่อายุ 30 ให้มาเต้น เราก็คงไม่โอเคแล้วล่ะ เมื่อมีโอกาสก็อยากลองทำ

 

คุณพ่อเข้าใจคำว่าไอดอลอย่างไร

     พ่อเคยบอกว่า นี่มันไม่ใช่ความฝันของเรานี่นา ลูกเคยบอกพ่อว่าอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่ แต่เรามีคำพูดที่อาจารย์สอนไว้ในหัว เขาบอกว่าถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเดียว คนก็จะรู้จักแค่ในวงนั้น แต่หากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีคนติดตามเรามากขึ้น ก็คงได้ประโยชน์มากกว่าเดิม ได้ประโยชน์ทั้งสองอย่าง

     ดังนั้น พอคุณพ่อเห็นพลังของแฟนๆ พ่อก็บอกว่าแปลกดี และก็เริ่มดูเรื่องธุรกิจส่วนนี้เยอะขึ้น แล้วก็มาบอกว่าเขาจะทำอย่างนี้ต่อ จะเป็นอย่างนั้น จะบริหารแบบนี้ เราก็รู้สึกว่าบางทีก็เยอะไปไหม (หัวเราะ) แต่เราก็เข้าใจ และรู้ว่าท่านกังวลในการเติบโตของเรา ว่าจะไปในทิศทางไหน ลักษณะไหน เพราะทางบริษัทไม่ได้ตั้งเป้าแค่ชื่อเสียงในไทย แต่จะไปไกลระดับอาเซียน และสู่ระดับโลกต่อไป

 

พี่เอ๊ะ ละอองฟอง (พงศ์จักร พิษฐานพร) เคยกล่าวว่า ‘ไอดอลคือคนที่พยายามต่อสู้เพื่อความฝันและรักในสิ่งที่ตัวเองทำ’ ในความจริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้นไหม

     สำหรับเรา ไอดอลคือคนที่ทุกคนได้เฝ้าดูพัฒนาการ ได้เห็นความพยายามที่จะต่อสู้กับความฝันของตัวเอง แต่ในระหว่างนั้น คนที่เป็นไอดอลจริงๆ ก็มีหลายอย่างที่เป็นทุกข์เหมือนกัน ว่าที่เราต่อสู้ เราต้องสู้ไปถึงขั้นไหน โอกาสจะเข้ามาเมื่อไหร่ มันมีอีกหลายส่วน แล้วเราจะวางตัวอย่างไรกับแต่ละคน แต่ละสิ่งที่เข้ามา

     สำหรับเราเอง ในฐานะที่โตในระดับหนึ่งแล้ว เราก็จะมองน้องๆ มากกว่า เพราะตอนเราอายุเท่าน้องๆ เราคิดว่าตัวเราไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ตอนนี้ก็กำลังเฝ้าดูน้องๆ อยู่ว่าเขาจะเติบโตไปทางไหน

 

ในฐานะนักศึกษาวิชาเคมี คิดว่าตัวเราเป็นสารอะไร

     คิดว่าตัวเองเป็นโมเลกุลอันหนึ่งที่มีสารหลายๆ อย่างมาผสมกัน ถ้าเราเกิดมาเป็นหนึ่งโมเลกุล ประสบการณ์ และการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในชีวิตก็หลอมรวมให้เราเข้ามาเป็นหนึ่งอะตอม แล้วมันก็ร้อยต่อกันไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสสารหนึ่งที่มีองค์รวมของหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน

 

สารแบบไหนที่เข้าได้หรือเข้าไม่ได้กับตัวเรา

     เมื่อก่อนเราอาจจะเป็นคนที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ธรรมดาๆ ไม่ได้แฟชั่น ไม่ได้เป็นผู้หญิงจ๋า แต่พอเข้ามาตรงนี้ก็เริ่มรับอะไรใหม่ๆ มากขึ้น เริ่มคิดว่าตัวเองเข้าได้กับทุกอย่าง เพราะจริงๆ แล้วทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน

     เมื่อก่อนเราอาจคิดว่า เราไม่ชอบคนแนวนี้ แต่ตอนนี้เราก็เริ่มพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ เขาเติบโตมากับอะไร เป็นความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น และพยายามหามุมที่น่าสนใจของเขา

 

มีคำคมประจำใจของตัวเองไหม

     มีเยอะเลย แต่ที่ชอบที่สุดคือ ‘เวลาคือสิ่งที่ยุติธรรมที่สุด’ จำไม่ได้แล้วว่ามาจากไหน แต่เราเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดสำหรับคนเราคือเวลา ที่มันพาเราเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน แต่อยู่ที่เราจะสามารถใช้เวลาตรงนี้ให้คุ้มค่าได้มากน้อยแค่ไหน
 


NEW YEAR’S RESOLUTIONS