สิบกว่าปีก่อน บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าของจีนน้องใหม่แห่งหนึ่งชื่อว่า Haier พยายามดันตัวเองเข้าสู่สมรภูมิตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ด้วยความที่เป็นบริษัทใหม่และงบน้อย พวกเขาเลยเลือกทำสินค้าไม่กี่อย่างออกมาก่อน โดยสินค้าตัวแรกที่ทำคือ เครื่องซักผ้า ทว่าหลังขายไปได้ระยะหนึ่ง ยอดขายก็ไม่ไปถึงไหนเสียที
จนมาวันหนึ่ง ทางสำนักงานใหญ่ก็พบปัญหาว่า เขตเสฉวนที่เป็นเขตต่างจังหวัดมีลูกค้าร้องเรียนปัญหาเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยปัญหาร้องเรียนนั้นยังคล้ายกันอีก คือเรื่องสายท่อน้ำตันเร็ว ทางทีมงานก็งงว่า เอ๊ะ! ทำไมถึงมีแต่เขตนี้เขตเดียวที่ท่อน้ำตันเร็วกว่าเขตอื่น ทางบริษัทก็เลยส่งพนักงานเทคนิคเข้าไปดูว่าเป็นเพราะอะไร
และพวกเขาก็เจอคำตอบ ปัญหาท่อตันไม่ได้เกิดจากลูกค้าเขตนี้ซักผ้าบ่อยหรือมากกว่าคนอื่น เปล่าเลย! แต่เพราะลูกค้าเขตนี้ไม่ได้ใช้ซักผ้าน่ะสิ พวกเขาเอาเครื่องซักผ้าไปล้างมันฝรั่งแทน เพราะเขตเสฉวนเป็นพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกมันฝรั่งเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านที่นี่ก็เอาสะดวก คือเอามันฝรั่งที่ต้องล้างเองด้วยมือ มาล้างในเครื่องซักผ้าแทน ผลคือท่อน้ำขนาดเล็กที่ออกแบบไว้สำหรับซักผ้าจึงอุดตันเร็ว เพราะเศษมันฝรั่งนั้นมีขนาดใหญ่
ความน่าสนใจมันอยู่ตรงนี้ คือโดยทั่วไปบริษัทก็น่าจะตีกลับหรือไม่รับเคลมสินค้า เพราะลูกค้าใช้สินค้าผิดประเภท จริงไหม? แต่ Haier คิดอีกแบบ คือนอกจากพวกเขาจะยอมซ่อมเครื่องซักผ้าให้ลูกค้าแล้ว พวกเขายังเอาปัญหานี้ไปพัฒนา จนต่อมา Haier ได้ออกเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ที่โฆษณาว่า “เครื่องซักผ้าที่ล้างมันฝรั่งได้ด้วย” ผลปรากฏว่า เครื่องซักผ้าของ Haier ขายดิบขายดี และสร้างยอดขายได้เป็นปรากฏการณ์ของบริษัท
ตำนานเครื่องซักผ้าล้างมันฝรั่งของ Haier เป็นเรื่องหนึ่งที่เราชอบมาก ในแง่ว่ามนุษย์เรานี่ก็ช่างแหวกแนวกันเสียจริงๆ คือแหวกกันตั้งแต่ชาวบ้านที่อุตริเอามันฝรั่งไปล้างในเครื่องซักผ้ากันอย่างพร้อมเพรียงกันแทบทุกครัวเรือน และยังมาแหวกต่ออีก เมื่อบริษัท Haier ก็บ้าจี้เอากับเขาด้วย ทำเครื่องซักผ้าล้างมันฝรั่งออกมาขายจริงๆ ซึ่งมันทำให้เรานึกถึงหนังสือชื่อ An Edible History of Humanity เขียนโดย ทอม สแตนเดจ (มีแปลเป็นภาษาไทยชื่อ ‘ประวัติศาสตร์กินได้’ ของสำนักพิมพ์ openworld)
หนังสือเล่มนี้เล่าให้เห็นว่า ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มา มนุษย์นั้นทำอะไรแหวกแนวอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น ใครจะไปเชื่อว่า ข้าวที่เรากินทุกวันนี้ เกิดจากมนุษย์โบราณเอาธัญพืชป่ามาลองปลูกในที่ทางตัวเอง จนต่อมาก็กลายเป็นการทำนาอย่างทุกวันนี้ หรือแม้แต่ข้าวโพด เดิมทีมันจิ๋วกว่านี้เยอะมาก ส่วนแกนหรือซังตรงกลางจริงๆ ในอดีตก็ไม่มี แต่เป็นมนุษย์นี่แหละที่เข้าป่าแล้วเอาธัญพืชมาพัฒนาพันธุ์ โดยเลือกฝักกลายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่และนำมาผสมต่อกันมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นข้าวโพดขนาดใหญ่อย่างปัจจุบัน
หรือย้อนกลับไปศตวรรษที่ 15-17 ซึ่งเป็นช่วงล่าอาณานิคม มนุษย์ยุโรปก็บ้าระห่ำกับการขนย้ายพืชพรรณจากคนละที่คนละทางที่ตัวเองไปเจอตอนล่าอาณานิคม แล้วมาลองปลูกตรงนั้นตรงนี้เสียใหม่ ซึ่ง ‘มันฝรั่ง’ ก็เป็นหนึ่งในนี้เหมือนกัน คือเดิมทีมีต้นกำเนิดอยู่ที่ทวีปอเมริกาใต้ โดยเป็นอาหารของชาวอินคา (ซึ่งก่อนหน้านี้ ชาวอินคาก็พัฒนาสายพันธุ์มาจากธรรมชาติดั้งเดิมอีกที)
เมื่อชาวสเปนเข้าไปเป็นเจ้าอาณานิคมเหนือชาวอินคา พวกเขาก็หอบเอามันฝรั่งมาปลูกที่ยุโรป จากนั้นมันฝรั่งก็ค่อยๆ ไต่ฐานะจากการเป็นอาหารสัตว์ จนมาเป็นผลผลิตชั้นดีบนจานอาหารของผู้คนในยุโรป และต่อมาก็กลายเป็นของทั่วโลก แน่นอนว่า พอถึงยุคนี้ มันฝรั่งของชาวอินคาก็กลายมาเป็นปัญหาหนักใจสำหรับช่างเทคนิคของบริษัท Haier ในประเทศจีน
ทีนี้ คุณพอเห็นแล้วใช่ไหมว่า มวลมนุษยชาติเราเนี่ยแหวกแนวมากแค่ไหน เพราะภายในเวลา 400 ปี นอกจากมนุษย์เราจะมีเครื่องซักผ้าแล้ว ยังเกิดเรื่องประหลาดที่มันฝรั่งเข้าไปอยู่ในเครื่องซักผ้าอีกด้วย แต่ถ้าถามว่าคุณควรเริ่มประหลาดใจตั้งแต่ตรงไหน คำตอบคือคุณควรประหลาดใจตั้งแต่มันฝรั่งไปปลูกอยู่ที่เสฉวนต่างหาก
ดังนั้น หากวันใดก็ตามที่คุณโหยหาแรงบันดาลใจที่จะลุกมาทำอะไรแหวกแนวบ้าง แต่นึกอะไรไม่ออก เราอยากให้คุณนึกถึงเรื่องมันฝรั่งกับเครื่องซักผ้าดู เผื่อคุณจะมีพลังกล้าทำกับเขาบ้าง เพราะคิดเรื่องนี้แล้ว มันแหวกแนวกันมาทุกทอดตั้งแต่ครั้งบรรพกาลเลยจริงๆ