Breaking Night

Book Actually | จริงๆ แล้ว คุณอาจเข้าใจตัวผิดเองมาตลอดก็ได้!

คุณคงได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ ว่า ไม่มีใครรู้จักตัวเราดี เท่ากับตัวเราเอง

จริงๆ ไม่มีอะไรผิดเลยสำหรับประโยคนี้ เพราะโดยมากก็เป็นตัวเราเองนี่แหละที่จะรู้จักตัวเองดีกว่าคนอื่น แต่ว่าการบอกว่าเรารู้จักตัวเองดีกว่าคนอื่น ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะรู้จักตัวเองถูกต้องไปทุกเรื่อง

     ยกตัวอย่างล่าสุด ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราไปเดินขึ้นดอยหลวงเชียงดาว ที่จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทางไป-กลับเกือบ 20 ก.ม. ซึ่งทริปนี้ไม่ใช่การตัดสินใจที่เราเต็มใจสักเท่าไร แต่เพราะมีเหตุตกกระไดพลอยโจนที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็เลยเป็นอันว่าต้องไป แต่ก่อนไป เราคิดกับตัวเองเสมอว่า นี่คงเป็นทริปที่ทรมานทรกรรมที่สุดแน่ๆ และเราคงเป็นภาระกับคนร่วมทาง เหตุผลก็เพราะเราคิดมาตลอดว่า เราเป็นคนกลัวความลำบากและทำอะไรที่สมบุกสมบันไม่ได้

     แต่กลับกลายเป็นว่า การเดินขึ้นดอยรอบนี้ทำให้เรารู้อย่างหนึ่งคือ เราแทบไม่รู้จักตัวเองเลย นั่นเพราะ พอเอาเข้าจริง เราเดินขึ้นและลงดอยโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ แถมทริปนี้ก็มีอุปสรรคเรื่องห้องน้ำห้องท่า ซึ่งโดยปกติเราจะหงุดหงิดกับเรื่องห้องน้ำมากๆ เรียกว่าถ้าไปพักที่ไหนก็ตาม ห้องเล็กไม่บ่น แต่ขอห้องน้ำสะอาด แต่กลายเป็นทริปดอยหลวงเชียงดาว เราทำธุระปลดทุกข์ได้อย่างไม่มีปัญหาและไม่บ่นสักกะแอะ

     เราเลยได้ตกผลึกกับตัวเองเรื่องนี้ว่า คงมีอีกหลายเรื่องที่เราเข้าใจตัวเองผิดมาตลอดได้เหมือนกัน ก็เหมือนกับทริปดอยหลวง ที่สรุปแล้ว เราไม่ใช่คนกลัวความลำบาก แต่เป็นคนที่ทนความลำบากได้ดีทีเดียว

     เหตุผลที่เรายกเรื่อง การเข้าใจตัวเองผิด ขึ้นมา ก็เพราะมานึกขึ้นได้ว่า การเข้าใจตัวเองที่ผิดเพี้ยนนั้นทำให้คนเราพลาดโอกาสหลายอย่างที่ดี ในชีวิตไป ในทำนองเดียวกัน การจะเปลี่ยนตัวเอง (Transform) เป็นคนใหม่ อาจเริ่มจากการเข้าใจตัวเองให้ถูกต้องเสียก่อน

 

Breaking Night

 

     เหมือนกับเรื่องจริงของ ลิซ เมอร์เรย์ อดีตเด็กไร้บ้านที่มีพ่อแม่ติดยาเสพติด ที่สุดท้ายชีวิตพลิกผันกลายมาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ซึ่งถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือชื่อ Breaking Night

     ด้วยความที่ลิซเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไร้ความหวัง เธอย้ำเสมอในหนังสือเล่มนี้ว่า ในช่วงเด็กจนถึงวัยรุ่น เธอแทบไม่มีความเชื่อเลยว่าเธอจะออกจากวังวนไร้อนาคตแบบนี้ได้ เพราะมองไปรอบตัว แทบไม่มีอะไรที่เอื้อให้เธอคิดได้ว่าเธอมีศักยภาพที่จะขีดเขียนโชคชะตาตัวเองได้

     ว่าง่ายๆ คือลิซมีความเข้าใจตัวเองที่บิดเบี้ยว และความเข้าใจที่บิดเบี้ยวนั้นคือสิ่งที่ขังเธอไว้ไม่ให้กล้าคิดนอกกรอบ เช่น เธอคุ้นชินกับการเป็นคนไร้บ้าน เธอเลยนึกภาพตัวเองไม่ออกว่าเธอควรหาทางทำให้ตัวเองมีหลักมีแหล่ง ซึ่งสำหรับคนมีบ้านอย่างเราๆ เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ จะหงุดหงิดใจว่าทำไมลิซถึงได้ซื่อบื้อไม่คิดเก็บเงินเช่าห้องพักให้ตัวเอง ซึ่งเราในฐานะคนนอก ไม่แปลกที่จะหงุดหงิดว่าทำไมลิซถึงคิดไม่ได้ แต่จริงๆ เราลืมคิดไปว่า ในมุมของลิซ เธอคุ้นชินกับการเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นมันเลยยากที่จะให้คนที่ชินกับการไร้บ้านมาคิดอยากมีบ้าน

     พูดอีกอย่างคือ การที่คนเราคุ้นชินกับอะไรมานานๆ ก็มักเข้าใจตัวเองไปตามสภาพแวดล้อมแบบนั้น เหมือนกับตัวเราที่คุ้นชินกับความสะดวกสบาย จนนึกไม่ออกว่า เราทนความลำบากได้ด้วยเหรอ? จนวันที่เราไปเจอความลำบากนี่แหละ ถึงได้รู้ว่าเราเข้าใจตัวเองผิดมาตลอด เช่นกันกับลิซ เมอร์เรย์ พอวันหนึ่งที่ลิซมีโอกาสได้คลุกคลีกับวงสังคมใหม่ที่มีที่พักเป็นของตัวเอง รวมทั้งเธอได้เจอโรงเรียนทางเลือกที่พร้อมสนับสนุนเด็กด้อยโอกาสให้ได้ฉายแวว ตอนนั้นลิซถึงค่อยๆ รู้จักตัวเองชัดขึ้นว่า จริงๆ แล้วเธอต้องการบ้านและเธอเป็นคนเอาการเอางานใช้ได้เลยทีเดียว กล่าวคือ ลิซถึงบางอ้อขึ้นเรื่อยๆ ว่า ไอ้ความเข้าใจที่ว่าเธอคงไม่เหมาะกับการมีหลักแหล่ง หรือชีวิตเธอคงไม่สามารถดีไปมากกว่านี้ มันเป็นความเข้าใจที่ผิด แท้ที่จริง การมีบ้านและการมีอนาคตที่ดีคือสิ่งที่เธอต้องการ

     และแน่นอนว่า พอลิซรู้จักความต้องการตัวเองถูกต้องขึ้น ลิซก็เดินหน้าสู้ตายที่จะตั้งใจเรียนจนสอบติดมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และตั้งใจที่หาที่พักให้ตัวเอง โดยจะไม่ยอมกลับไปไร้บ้านอีกแล้ว ซึ่งต่อมาเรื่องราวของเธอกลายเป็นที่สนใจของสื่อดังๆ จนทำให้ลิซเป็นที่รู้จักในวงกว้างในฐานะ คนไร้บ้านสู่ฮาวาร์ด

 

     อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าคงไม่ได้มีแค่ตัวเราและ ลิซ เมอร์เรย์ เท่านั้น ที่เพิ่งมารู้ตัวว่าเข้าใจตัวเองผิดมาตลอด เราเชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนคงเคยมีประสบการณ์เหมือนกันที่มารู้ว่า จริงๆ ฉันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้นี่! ซึ่งแน่นอนว่า ทันทีที่คนเราเห็นมุมใหม่ๆ ของตัวเอง ก็เหมือนเป็นการเปิดประตูบานใหม่ไปสู่โอกาสอื่นๆ เช่นที่ลิซเปิดโอกาสตัวเองสู่การศึกษา หรือตัวเราที่ต่อไปคงกล้าพาตัวเองไปลำบาก เพราะรู้แล้วว่าจริงๆ เราทนความลำบากได้

     เช่นกัน คุณลองนึกดูว่า ถ้าคุณได้รู้จักตัวเองในมุมใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนอีกสักเรื่องสองเรื่อง จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคุณ?

     แต่ที่แน่ๆ สิ่งสำคัญของการจะค้นพบตัวเองคือ คุณต้องเอาตัวเองไปลองประสบการณ์ใหม่ๆ หรือวงสังคมใหม่ๆ เพราะถ้าขืนอยู่กับความคุ้นชินเดิมๆ ไม่มีทางที่คุณจะเห็นตัวเองได้ชัดหรอก