ถ้าใครชอบดูรายการของ โอปราห์ วินฟรีย์ น่าจะเคยเห็นแขกรับเชิญคนหนึ่งที่มาออกรายการบ่อยๆ คือ ดอกเตอร์ฟิล เพราะเขาเป็นนักจิตวิทยา เป็นที่ปรึกษาชีวิต และยังเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ในหนังสือ Life Strategies ของดอกเตอร์ฟิล มีตอนหนึ่งเล่าถึงช่วงเวลาที่โอปราห์ตกอยู่ในสถานการณ์ต้องขึ้นศาลเป็นครั้งแรก จากกรณีมีบริษัทยื่นฟ้องร้องเรื่องที่เธอนำเสนอข้อมูลเรื่องเชื้อวัวบ้า โดยหาว่าเธอหมิ่นประมาทและให้ข้อมูลเท็จกับประชาชน
แต่ในช่วงเวลานั้น โอปราห์ยังคงไปทำงานตามปกติและปลุกพลังตัวเองขึ้นมาเพื่อเป็น ‘โอปราห์’ ขวัญใจคนดูทั่วประเทศเช่นที่เคยเป็น ทว่าด้านหลังเวที ดอกเตอร์ฟิลได้เห็นโอปราห์อีกมุมหนึ่ง ซึ่งมีสภาพราวกับคนละคนบนเวที คือเธอทั้งเครียด กลัว สับสน นอนไม่หลับ และที่สำคัญคือ โอปราห์ยังไม่อยากยอมรับความจริงเรื่องที่เธอถูกฟ้อง
การไม่ยอมรับความจริงทำให้โอปราห์ไม่ยอมคิดหาวิธีแก้ปัญหาสักที และมัวแต่คิดวนเวียนว่าตัวเองไม่น่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้เลย
อันที่จริง การปฏิเสธความจริงแบบที่โอปราห์ทำเป็นสิ่งที่มนุษย์แทบทุกคนเป็นกัน เวลาเราเจอความทุกข์หรือเหตุการณ์รุนแรงอะไรสักอย่าง เพราะเราไม่ชอบความจริงเรื่องนั้น หรือเพราะความจริงมันโหดร้ายเกินกว่าจะยอมรับ หลายต่อหลายครั้ง คนเราเลยหนีความจริง ด้วยการไม่คิดถึงมัน ไม่พูดถึงมัน หรือทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือจินตนาการว่ามันเป็นอีกแบบไปเลย
แต่ว่า ‘การไม่ยอมรับความจริง’ นี่แหละคืออุปสรรคสำคัญที่ทำให้ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข เพราะการไม่ยอมรับความจริงทำให้เรามองไม่เห็นตัวเอง มองไม่เห็นสถานการณ์ตามที่มันเป็น ซึ่งถ้าพอไม่เห็นความจริงแล้ว ก็ไม่มีทางที่เราจะแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ยกตัวอย่าง เวลาใครอกหักหรือเพิ่งเลิกกับแฟน สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นคือ คนถูกบอกเลิกจะไม่ยอมเชื่อว่าเลิกกันแล้ว และมักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนใหม่ ผลคือ พอคิดแบบนี้ การตัดสินใจที่ตามมาก็จะผิดเพี้ยนไป เช่น แทนที่จะกลับมาคิดเดินหน้าด้วยตัวเองต่อ ก็กลายเป็นการตามตื๊อหรือเรียกร้องขอความรักกับคนที่ไม่ได้รักเราแล้ว
ถ้าสังเกตให้ดี จุดที่คนอกหักเริ่มฟื้นคืนตัวขึ้นมาได้ก็คือช่วงที่พวกเขายอมรับความจริงนั่นเอง ว่าความสัมพันธ์จบไปแล้ว แล้วเปลี่ยนมาถามตัวเองใหม่ว่า เมื่อมันจบไปแล้ว ฉันควรจะอะไรต่อดี?
เช่นกันกับตัวโอปราห์ หลังจากทุกข์ใจ ไม่ยอมรับความจริง แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ตัดสินใจอะไรบางอย่างกับตัวเอง ซึ่งดอกเตอร์ฟิลเรียกสิ่งนี้ว่าก้าวแรกที่สำคัญของการแก้ปัญหา นั่นคือโอปราห์ออกมาพูดกับทุกคนว่า “ฉันจะเดินหน้า ฉันจะไม่หนี และก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแล้ว” ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า พอเธอตัดสินใจหันหน้าเข้าหาความจริง ท่าทีและพลังของเธอก็กลับมา และมันทำให้เธอขึ้นพูดต่อหน้าศาลด้วยความมั่นใจและฉลาดหลักแหลม ผลสุดท้ายคือโอปราห์ชนะคดีนี้
เหตุผลที่เราเล่าเรื่องโอปราห์ขึ้นมา นั่นเพราะเราคิดว่าการยอมรับความจริงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่คนมักมองข้ามกัน เพราะชอบคิดว่าก็แค่ยอมรับความจริง มันจะไปยากอะไร แต่ถ้าคุณสังเกตชีวิตคนให้ดีๆ คุณจะเห็นว่าเหตุผลที่ใครหลายคนไม่ไปไหนสักที หรือยังวนเวียนกับปัญหาเดิมๆ สาเหตุหลักๆ เลยคือ มาจากการที่พวกเขาไม่รู้จักความจริงที่ตัวเองเป็น หรือถ้ารู้จัก แต่ก็ไม่กล้าจะยอมรับความจริง
เช่น รุ่นน้องเราคนหนึ่งเป็นคนที่มีศักยภาพมาก คือหัวดี เรียนดี ฉะฉาน ไหวพริบปฏิภาณดี แต่ติดอย่างเดียวคือ อีโก้ ไม่ยอมรับจุดบกพร่องของตัวเอง ปัญหาที่ตามมาคือ น้องเลยกลายเป็นคนแบบน้ำเต็มแก้ว พอจะเติมอะไรเข้าไปก็เติมไม่ได้ สุดท้ายชีวิตก็ไปไหนได้ไม่ไกล เพราะติดแค่ข้อเดียวคือไม่ยอมรับความจริง เลยไม่เกิดการปรับปรุงและการพัฒนา
ฉะนั้น ในการแก้ปัญหาอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องความรัก การเงิน ชีวิต สิ่งสำคัญที่คนเราไม่ควรหันหลังให้เลยก็คือ ความจริง เพราะทันทีที่หันหลังให้แล้ว นอกจากจะไม่เกิดการเดินหน้าต่อ เราก็จะไม่มีทางวางแผนการแก้ปัญหาได้ต่ออย่างถูกต้องและเหมาะสมได้อีกด้วย
การจะยอมรับความจริงได้นั้น คือต้องเชื่อมั่นในตัวเองก่อนว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะผ่านมันไปได้แน่นอน ก็คล้ายกับโอปราห์นี่แหละ คือทันทีที่เธอไม่กลัว ความมั่นใจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอชนะ