ปาฏิหาริย์

Book Actually | ปาฏิหาริย์ของการมีสติ เรียบง่ายแต่เห็นทั้งจักรวาล

โดยส่วนตัว แม้เราจะเชื่อเรื่องพระเจ้า แต่เราก็ไม่เคยปฏิเสธความสำคัญของสติ เพราะสติคือเครื่องมือสำคัญที่ดึงให้เราอยู่ในทางธรรมหรือทางของพระเจ้า กล่าวคือ เราเชื่อว่าทุกวันที่เราตื่นขึ้นมา วันทั้งวันเปรียบได้กับสมรภูมิรบระหว่างธรรมะกับอธรรมที่พยายามแย่งชิงตัวเราให้อยู่ด้านใดด้านหนึ่ง

     ถ้าเราขาดสติ ปล่อยให้ความกลัว ความคิดแง่ลบจู่โจมและครอบงำ วันนั้นเราก็จะพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายอธรรม ต่อให้พระเจ้าตะโกนเรียก แต่เราไม่มีสติรู้เท่าทันใจตัวเอง และต่อให้เราเรียกตัวเองว่าคนมีพระเจ้า เราก็ไม่มีทางได้ยินเสียงพระเจ้าอยู่ดี

     คอนเซ็ปต์เรื่องสติกับพระเจ้า เอาเข้าจริงยังพ้องกับคอนเซ็ปต์ของพุทธ โดยเฉพาะนิกายเซน ที่เน้นเรื่องพุทธภาวะ (Buddhahood) หรือจิตเดิม (จิตแท้) ว่าการมีสติทำให้เราเข้าใกล้จิตเดิมของเรา ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ คอนเซ็ปต์พุทธกับคริสต์มีความคล้ายอย่างหนึ่งคือความเชื่อเรื่องจิตใหญ่กับจิตย่อย ว่าจิตย่อยเป็นส่วนหนึ่งในจิตใหญ่ ซึ่งจิตย่อยที่ว่าก็คือจิตที่อยู่ตัวพวกเราทุกคน โดยมีจิตใหญ่หรือพระเจ้าเป็นองค์รวมของจิตย่อยต่างๆ

     ถ้าศาสนาคริสต์มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ (Holy Spirit) เป็นจิตย่อยที่ฝังอยู่ในเราทุกคน ทางพุทธศาสนาจะเรียกสิ่งนี้ว่า พุทธภาวะหรือจิตเดิม หรือบางทีเซนก็เรียกง่ายๆ ว่าเรามีพระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเรา ซึ่งพระพุทธเจ้าในที่นี้ไม่ใช่องค์ตถาคตหรืออดีตเจ้าชายสิทธัตถะ แต่เราทุกคนมีดวงจิตที่จะเป็นพระพุทธเจ้า นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมบางทีถึงเรียกว่า จิตเดิม เพราะมันคือดวงจิตเดิมที่ซ่อนอยู่ในเรา แต่ที่เราหาไม่เจอเพราะมีกิเลสและอวิชชาพอกไว้อยู่ ดังนั้น การเข้าสู่นิพพาน ถ้าพูดแบบภาษาเซนก็คือการขัดเกลาให้เจอดวงจิตเดิม (พระพุทธเจ้า) ภายในเรา

     แต่พอมาเป็นคริสต์ศาสนา การมีสติคือการที่เราปล่อยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เป็นจิตฝั่งพระเจ้าได้ครอบครองตำแหน่งบัญชาการหัวใจ ร่างกาย และปัญญา แทนที่จะปล่อยให้ความบาปหรือเนื้อหนัง (กิเลส ตัณหา) ครอบครองใจเรา ฉะนั้น ยิ่งเรามีสติเตือนตัวเองให้นึกถึงพระเจ้าหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์มากเท่าไร เราก็ยิ่งสนิทกับพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าเมื่อสนิทกับพระเจ้าแล้ว เราก็จะเดินตามทางของพระเจ้า ซึ่งเป็นทางที่ชอบธรรมหรือพูดง่ายๆ คือ ทำตัวดี ทำตัวเป็นความรักและพรให้คนอื่นนั่นเอง 

 

ปาฏิหาริย์

 

     อย่างหนังสือเรื่องสติเล่มหนึ่งที่เราชอบและเป็นเล่มแรกๆ ที่เราตั้งใจอ่านเพราะอยากรู้เรื่องการเจริญสติ คือ ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ของพระอาจารย์เซนที่เราเคารพนับถือ ท่านติช นัท ฮันห์ ในหนังสือเล่มนี้ท่านติชแนะนำวิธีการฝึกสติในแบบง่ายๆ และอยู่ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น ‘ล้างจานเพื่อล้างจาน’

     กล่าวคือ โดยมากเวลาคนเราล้างจาน เรามักใจลอยคิดถึงเรื่องอื่น เช่น คิดเรื่องงาน คิดเรื่องแฟน แต่ท่านติชสอนให้เห็นว่า เราไม่เคยล้างจานเลย ต่อให้มือเรากำลังล้างจานอยู่ก็ตาม เพราะ ณ ขณะนั้นตอนที่มือเราล้างจาน เรากำลังทำงาน เรากำลังเถียงในใจเรื่องแฟนอยู่ ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าเรามีสติอยู่กับปัจจุบันน้อยแค่ไหน บางทีเราอาจจะเคี้ยวข้าวในปาก แต่เราไม่เคยได้กินข้าวเลยก็ได้ เพราะเราคิดเรื่องอื่นอยู่ ฉะนั้น วิธีง่ายๆ ที่ฝึกได้คือ ลองล้างจานและมีสติอยู่กับการล้างจาน

     ทั้งนี้ การอยู่กับปัจจุบันถือว่าจำเป็นมากกับการใช้ชีวิตไปกับพระเจ้า เพราะในพระคัมภีร์บอกตลอดว่า พระเจ้าอยากให้เราอยู่กับพระองค์แบบวันต่อวัน คือการใช้ชีวิตแบบมีศรัทธา หรือเชื่อไหมล่ะว่า พระเจ้าดูแลเราทุกอย่าง ถ้าเชื่อแล้ว จะมัวคิดเรื่องวันพรุ่งนี้ไปทำไมเล่า ก็ปล่อยให้พรุ่งนี้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้สิ เพราะพรุ่งนี้พระเจ้าก็จะช่วยเราเหมือนวันนี้

     ฉะนั้น ถ้าไม่ฝึกให้มีสติเลย เราก็มีโอกาสที่จะเอาเรื่องวันพรุ่งนี้หรือวันก่อนมาคิดอยู่ในหัว นั่นทำให้เราไม่ได้เดินทางบนความเชื่อที่ว่าพระเจ้าจะดูแลเราจริงๆ ซึ่งพอไม่เชื่อแล้ว ก็ทุกข์เอง เพราะเราเอาเรื่องที่ยังไม่เกิดหรือเกิดไปแล้วมาเครียดสุมอยู่ในใจ ซึ่งสุดท้ายไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา มีแต่เครียดกับเครียด ฉะนั้น ถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน และเชื่อด้วยว่าพระเจ้าดูแลเราทุกอย่าง เราก็อยู่กับปัจจุบันได้อย่างสบายใจ ดังนั้น มันเลยน่ารักมากที่คำว่า Present ที่แปลว่าปัจจุบัน ดันพ้องกับ Present ที่แปลว่าของขวัญ เพราะการอยู่กับปัจจุบันอย่างแท้จริงช่วยสร้างสันติสุข (Peace) ขึ้นในใจ

     
     นอกจากนี้ อีกตัวอย่างหนึ่งในหนังสือที่เราชอบคือ ‘การมีสติกับการกินส้ม’ การมีสติหรือรู้เท่าทันว่าเรากำลังกินส้มอยู่นั้น ไม่เพียงแต่ทำให้เรา ‘กินส้มเพื่อกินส้ม’ แต่สติยังช่วยเปิดปัญญาให้เรามองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติของส้ม เช่น เมื่อเรา ‘กินส้มเพื่อกินส้ม’ เราจะมีโอกาสระลึกได้ว่าส้มผลนั้นสัมพันธ์กับสรรพสิ่งต่างๆ ในจักรวาลนี้ เรากินส้ม เราเห็นต้นส้ม เห็นเมฆ เห็นฝน เห็นแดด เห็นต้นส้มที่โตขึ้นจากดินจากน้ำจากแดด ผลิดอกออกมาเป็นผลส้ม

     มันอาจฟังดูเวอร์ในความเข้าใจทั่วไปของคนเรา แต่นี่แหละคือพุทธปัญญาที่พระพุทธเจ้าบอก คือ ‘สรรพสิ่งคือหนึ่งเดียว’ ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้มีสายใยเกาะเกี่ยวและเป็นสิ่งเดียวกัน มันจึงสัมพันธ์กับคอนเซ็ปต์ ‘อิทัปปัจจยตา’ ที่บอกว่า ‘เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงเกิด’ คือถ้าไม่มีเมฆ ก็ไม่มีฝน ถ้าไม่มีฝน ก็ไม่มีน้ำ ไม่มีน้ำ ก็ไม่มีต้นส้ม ไม่มีต้นส้ม ก็ไม่มีผลส้มที่เรากิน

     ในทำนองเดียวกัน การมีสติเปิดโอกาสให้เรา ณ ขณะนั้นๆ พึ่งพาปัญญาที่มาจากพระเจ้า มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะช่วยชี้ทางชีวิตให้ พูดให้เห็นภาพง่ายๆ คือ เราเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ปลั๊กอินกับเครือข่ายขนาดใหญ่อย่างพระเจ้า แต่การไม่มีสติก็เหมือนกับการต่อสายไว้อย่างนั้น แต่ไม่ยอมล็อกอินเพื่อสื่อสารกับพระเจ้า บางทีพระเจ้ามีข้อมูลที่คิดว่าดีและอยากแนะนำเรา แต่เราไม่ล็อกอินเลย เราก็เหมือนคอมพิวเตอร์โง่ๆ เครื่องหนึ่งเท่านั้น และก็มีสตินี่แหละคือการทำให้เราล็อกอินคุยกับพระเจ้า

 

     โดยสรุปแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวของเราที่ออกจะประหลาดหน่อย เพราะเรามีความเชื่อเรื่องพระเจ้า แต่ก็ดันสนใจเรื่องสติของพุทธศาสนา แต่ทั้งหมดทั้งมวลเราคิดว่า สติเป็นสิ่งที่จำเป็นกับชีวิตคนเราทุกคน แม้ว่าคนพุทธจะชินกับเรื่องสติเพราะมีเรื่องการฝึกสมาธิ แต่เราก็เพิ่งมานึกได้เหมือนกันว่าคนคริสต์ก็ฝึกสมาธิเหมือนกัน ซึ่งวิธีนั้นก็คือการภาวนาหรืออธิษฐาน (Prayer) คุยกับพระเจ้านั่นเอง

     ไม่น่าเชื่อว่า ทุกครั้งที่เราตั้งจิตอธิษฐาน นั่นคือช่วงเวลาที่เรามีสมาธิ มีสติ อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับพระเจ้า อยู่กับจักรวาลนี้แบบจริงๆ นี่แหละคือปาฏิหาริย์ของการมีสติ มันเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่มาก

     ขอพระเจ้าอวยพรชีวิตคุณผู้อ่านทุกคน