No More Mr. Nice Guy

Book Actually | No More Mr. Nice Guy หนังสือและการเริ่มต้นใหม่ เปลี่ยนคนไม่รักตัวเอง ให้รู้จักรักตัวเอง

ถ้าเปรียบชีวิตคุณเป็นฤดู ฤดูกาลของคุณตอนนี้เป็นแบบไหน? และถ้าถามเรา ฤดูกาลของเราคือการเริ่มต้นใหม่ ที่อยู่ๆ เราก็อยากลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ ให้ตัวเอง รวมไปถึงการเขียนบทความรักลงใน a day BULLETIN ที่เขียนเป็นประจำมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (2560)

     ไม่นานมานี้ เราเพิ่งสัมผัสกับความรู้สึกของการเปลี่ยนแปลงในชีวิต หากดูภายนอก ทุกอย่างในชีวิตเรายังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นงาน ครอบครัว เพื่อน หรือการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพียงแต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมันเกิดขึ้นภายใน และมันไม่ได้เกิดแบบปุบปับ แต่มีสัญญาณแจ้งเตือนมาสักระยะหนึ่งแล้ว เพียงแต่ตอนนั้นเราจับสัญญาณและตีความมันไม่ได้ชัดว่าชีวิตกำลังบอกอะไรเราอยู่ รู้แต่ว่าทุกครั้งที่เราต้องลงมือเขียนบทความรัก เราคิดอะไรไม่ออก เราหมดมุก เราตันไอเดีย และมันก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่สนุกอีกต่อไป

     จนกระทั่งเราเดินทางคนเดียวเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา การเดินทางรอบนี้ก็เหมือนกับการรีเซตตัวเองใหม่ เราค่อยๆ เข้าใจว่าการที่เราไม่อยากเขียนเรื่องความรักไม่ใช่เรื่องแปลก จริงๆ เราเคยผ่านมันมาแล้ว แต่แค่เป็นเรื่องอื่น

     เหมือนกับตอนที่เราไม่สามารถกลับไปยืนกรี๊ดรุ่นพี่ในโรงเรียนได้อีกแล้ว ไม่ใช่เพราะรุ่นพี่เปลี่ยนไป แต่เป็นเพราะวัยเราเปลี่ยนไปต่างหาก เราโตขึ้นจนรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำอีกต่อไป และนี่ก็ไม่ใช่สเปกเราด้วย แล้วมันก็จบดื้อๆ แบบนั้น

     เหมือนกันกับเรื่องเมื่อเดือนก่อน ที่รู้สึกว่ามันเลยวัยที่เราสนุกกับการเขียนเรื่องความรัก แต่ไม่ใช่เพราะหมดหวังในความรักนะ จริงๆ การเขียนเรื่องความรักมาตลอดหลายเดือนเป็นการตอกย้ำเราด้วยซ้ำ ให้เรามีความหวังในความรัก ดังนั้น ความรักไม่ใช่เหตุผลที่เราหยุดเขียน แต่เราเชื่อว่ามันเป็นเพราะวัยมากกว่า ซึ่งไม่แน่ว่าวันหนึ่งถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในตัวเราเองอีก บางทีเราอาจอยากกลับมาเขียนความรักอีกครั้งก็ได้ใครจะรู้

     แต่ทีนี้ เราไม่ได้จากคุณไปไหน สิ่งที่คุณผู้อ่านจะพบถัดไปจากนี้ เป็นสิ่งที่เราเองอยากทำมานาน แต่เรากลับไม่เคยรู้ตัวว่าอยากทำ จนวันที่เราสารภาพกับพี่อ๋อง บรรณาธิการของ a day BULLETIN ว่าเราอยากหยุดเขียนเรื่องความรัก ก็เป็นพี่อ๋องนี่แหละที่บอกเราว่า งั้นส้มลองเขียนเรื่องหนังสือไหม? เพราะพี่เคยเห็นเราตั้งสเตตัสเล่าเรื่องหนังสือในเฟซบุ๊กส่วนตัวอยู่บ่อยๆ ปรากฏว่าสิ่งที่พี่อ๋องแนะนำมันคือสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด แต่แค่เรานึกไม่ออกเท่านั้นเอง

 

     ดังนั้น จากนี้ต่อไป คุณผู้อ่านจะได้เป็นสักขีพยานให้ปฐมบทใหม่ของชีวิตเรา ที่จะเล่ามุมมองของเราที่มีต่อหนังสือที่ได้พานพบเจอ ซึ่งอาจจะเป็นในมุมความรัก มุมการทำงาน มุมธุรกิจ มุมการใช้ชีวิต หรือมุมทางจิตวิญญาณ ก็สุดแท้แล้วแต่ที่โชคชะตาจะพาเราไปเจอหนังสือแต่ละเล่มเหล่านั้น

     และสำหรับบทความนี้ ในฐานะที่เป็นบทความของการเปลี่ยนผ่านจากคอลัมน์รักไปสู่คอลัมน์หนังสือ เราเลยอยากเขียนถึงเรื่องความรักและหนังสือไปพร้อมๆ กัน ก็เลยเลือกหนังสือเล่มหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเราเมื่อสองปีก่อน มาเล่าสู่กันฟัง หนังสือที่ว่านี้คือ No More Mr. Nice Guy พอกันที!! ผู้ชายแสนดี เขียนโดย ดร.โรเบิร์ต โกลฟ์เวอร์

 

No More Mr. Nice Guy

 

     ต้องขอย้อนความก่อนว่า เมื่อสองปีก่อน นักเขียนคอลัมน์รักที่คุณกำลังอ่านอยู่นี้เป็นมนุษย์คนละคนกับเวลานี้เลย ในเวลานั้นเราเป็นคนที่ไม่เข้าใจตัวเองและรักตัวเองไม่มากพอ ซึ่งเราไม่รู้ทันปัญหาข้อนี้เลยจนหลังจากเลิกลากับแฟนเก่านั่นแหละ ถึงค่อยเข้าใจ โชคชะตาทำให้เราเจอหนังสือเล่มนี้โดยบังเอิญ และตอนที่เราอ่าน จำได้ว่าใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงเท่านั้นในการอ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ หนังสือเล่มนี้ตอบคำถามในใจเราหลายอย่าง มันเหมือนกับการค้นหาปริศนาอะไรสักอย่างมาหลายสิบปี แล้วอยู่ๆ ปริศนาก็เฉลยออกมาผ่านหนังสือเล่มนี้

     สิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกคือ มีคนจำนวนมากบนโลกไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ขาดความรัก และเมื่อขาดความรัก หลายคนจึงอยากที่จะถูกรัก (be loved) ด้วยการไขว่คว้าและวิ่งไล่หาใครสักคนมาเติมเต็มช่องว่างภายในใจของตัวเอง โดยวิธีการที่พวกเขาทำเพื่อให้ได้รับความรักก็คือ การทำตัวเป็นคนแสนดี (เกินเหตุ) เพราะเชื่อว่าถ้าทำดี ก็จะได้รางวัลเป็นการถูกรักไปตลอด

     ดังนั้น ภายนอกพวกเขาดูเป็นคนแสนดี อบอุ่น โรแมนติก เอาใจใส่ ดูแลคนรักเป็นอย่างดี แถมพร้อมที่จะปรับและเปลี่ยนทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวเองเพื่อ ‘เอาใจ’ คนรัก โดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่า พวกเขาไม่ได้รักคนรักจริงๆ หรอก แต่ทำไปเพราะเขาเชื่อว่า เมื่อเขาดูแลคนรักอย่างดีแล้ว ความดีจะเป็นพันธนาการขังให้คนรักอยู่กับเขาไปตลอด คนภายนอกเลยมักมองว่าใครก็ตามที่ได้พวกเขาเป็นแฟนถือว่าช่างโชคดีเหลือเกิน แต่คนที่เป็นแฟนพวกเขาจริงๆ ต่างรู้สึกอึดอัด เพราะรู้ดีว่าพวกเขาฝืนดีและกำลังใช้ความดีเป็นเหมือนบุญคุณที่ทำให้คนรักต้องรู้สึกผิด ถ้าคิดจะเดินจากไป

     แน่นอนว่าตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ เราเหมือนเห็นตัวเองอยู่ในกระจก เพราะนี่คือตัวเราเลย ให้ตายสิ!! จริงๆ ที่ผ่านมาแฟนเก่าพยายามบอกเราหลายที แต่เราไม่เข้าใจ จนกระทั่งวันที่เราอ่านหนังสือเล่มนี้นี่แหละ ถึงรู้ตัวว่าเราเป็นคนขาดความรัก และใช้การทำตัวเป็นคนดีเกินกว่าที่เราเป็นจริงๆ เพื่อสร้างพันธนาการกับแฟน

     นับจากนั้นเป็นต้นมา เลยบอกตัวเองเสมอว่า ต้องรู้จักรักตัวเองให้เป็น และพยายามรู้ทันตัวเองให้ได้และให้ทัน โดยเฉพาะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพยายามเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครสักคน เพราะนั่นเป็น ‘ระเบิดเวลา’

     กล่าวคือ เราต้องยอมรับก่อนว่าเราเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ตลอด การฝืนเปลี่ยนตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนการสั่งสมความไม่พอใจ พอถึงวันหนึ่งที่เราผิดหวังกับใครก็ตามที่เราอุตส่าห์ยอมเปลี่ยนตัวเองแต่ไม่เกิดผลตามที่เราหวัง ผลที่ตามมาคือ เราจะระเบิดความไม่พอใจนั้นออกมา ความจริงคือเราไม่ได้ทำเพราะรัก แต่เราทำเพราะคาดหวังอะไรบางอย่างจากคนคนนั้น และสิ่งนี่เรียกว่า หายนะของการฝืนทำดี

     ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้ เรากลับมีทัศนคติชีวิตและความรักเปลี่ยนไป แน่นอนว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแบบใหม่หมดจด 100% แต่ก็ถือว่าเปลี่ยนไปพอสมควร จากเดิมที่เป็นคนวิ่งหาความรัก เราก็นิ่งมากขึ้น เมื่อใดก็ตามที่คนที่เราชอบดูจะไม่ชอบเรา เราก็แค่ทำใจว่าเขาแค่ไม่ชอบเรา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปเอาใจหรือยอมคนคนนั้นไปซะทุกเรื่อง และถ้าใครก็ตามรักเรา เขาก็ต้องรักเพราะเห็นคุณค่าในตัวเรา รวมทั้งมุมแย่ๆ ของเราด้วย ฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปพรีเซนต์ว่าเราเป็นคนดีแบบนั้นแบบนี้ และก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งปิดบังว่าเราทุเรศแบบนั้นแบบนี้ ว่าง่ายๆ คือ ถ้ารักกันจริง เธอก็ต้องรับและรักฉันอย่างที่ฉันเป็น

     เมื่อเราคิดแบบนี้แล้ว เราก็ชอบตัวเองขึ้นมา แล้วค่อยๆ เข้าใจว่าการรักตัวเองมันเป็นแบบนี้นี่เอง พอรักตัวเองเป็น เราก็เรียนรู้ที่จะรักคนอื่นได้ดีขึ้น เพราะเราไม่ได้คิดจะเอาการทำดีมาเป็นห่วงโซ่ขังอิสรภาพของคนอื่น เราเรียนรู้ที่จะตัดอะไรที่ไม่ดีกับตัวเองออกไปได้ง่ายขึ้น และก็เรียนรู้ที่จะเปิดตัวเองให้สิ่งใหม่ๆ ได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งถ้าถามว่ามันมาจากอะไร มันก็มาจากการเริ่มต้นรักตัวเองเป็นนี่แหละ

 

     ฉะนั้น ถ้าถามว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้มาจากอะไร ก็คงต้องบอกว่า ส่วนหนึ่งมาจากหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้รู้จักตัวเองและรักตัวเอง และนี่คือบทความของการเปลี่ยนผ่าน โดยนำหนังสือที่มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงชีวิตเราเมื่อสองปีก่อนมาเล่าสู่กันฟัง หลังจากนี้เป็นต้นไป ก็จะเข้าสู่ปฐมบทซีรีส์คอลัมน์ใหม่ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวกับคุณผู้อ่านไว้ตรงนี้ด้วยนะ 🙂