คุณเคยเจอไหม? เมื่อโอกาสหรือสิ่งที่คุณต้องการถูกปิดลง เหมือนกับประตูที่ไม่มีวันเปิดออก แล้วคุณก็ทำอะไรไม่ถูก เพราะที่ผ่านมาคุณตั้งตารอแต่ประตูบานนั้นบานเดียว ยกตัวอย่างเช่น คุณอดทนเก็บเงินมาหลายปีเพื่อทำธุรกิจส่วนตัว แต่แล้ววันหนึ่งแม่ของคุณล้มป่วยกะทันหัน ทำให้คุณต้องนำเงินทั้งหมดไปใช้รักษาแม่ แล้วคุณก็รู้สึกจุกเต็มหัวใจว่าประตูแห่งฝันถูกดับลงแล้ว หรือไม่ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรักกำลังเดินมาสู่ทางตัน ราวกับประตูที่กำลังลงกลอนปิดถาวร
เราเชื่อว่า คุณผู้อ่านแต่ละคนคงมีประสบการณ์เจอประตูที่ปิดในเรื่องราวแตกต่างกันไป และคงมีคำถามใหญ่ๆ ภายในใจว่า แล้วฉันควรทำอย่างไรต่อดี? อันที่จริงไม่มีคำตอบตายตัวสำหรับสถานการณ์ของแต่ละคน แต่มีคำแนะนำหนึ่งที่คิดว่าคุณควรทำ นั่นคือเดินหน้า (move on) ซึ่งนี่ไม่ใช่คำตอบแบบกำปั้นทุบดิน หรือตอบแบบขอไปที แต่เราหมายความอย่างนั้นจริงๆ เพราะในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ขืนรอประตูบานเดิมต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์ สู้เดินหน้าเสียดีกว่า
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เราคิดว่าจะช่วยให้คนที่เจอทางตันหรือเจอประตูที่ปิดลง ได้มีมุมมองใหม่ๆ เพื่อเดินหน้าต่อ หนังสือที่ว่านี้ คือ The Disruptor เขียนโดย รวิศ หาญอุตสาหะ อดีตหัวหน้าเก่าเราเอง ซึ่งผิวเผินหนังสือเล่มนี้เหมือนหนังสือการตลาดและธุรกิจ แต่จริงๆ ยังมีมิติอื่นที่ซ่อนอยู่ในหนังสือ นั่นคือการปลดล็อกตัวเองสู่หนทางใหม่ๆ เหมือนกับชื่อหนังสือเลย คือ The Disruptor หรือคนที่จะฉีกกฎ เพราะหนังสือไม่ได้มอบแค่แง่มุมเรื่องประตูที่ปิดในเชิงธุรกิจเท่านั้น แต่ยังปรับใช้กับประตูบานอื่นๆ ที่เป็นปัญหาของชีวิตด้านอื่นๆ ได้อีกด้วย ได้แก่
1) ประตูแห่งนิสัย
บ่อยครั้งที่ชีวิตคนเราไม่ไปไหนสักที ยังวนเวียนมีชีวิตแบบเดิมๆ เช่น อยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ อยากแก้นิสัยที่ไม่เข้าท่าหรือสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แก้ไม่หายสักที เหมือนกับประตูที่ไม่มีวันเปิดออก ซึ่งประตูบานที่ว่าก็คือประตูแห่งนิสัย
วิธีการหนึ่งที่ควรทำคือการเดินหน้าทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่เอาแต่บ่นโชคชะตาหรือท้อใจว่าคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว ซึ่งในหนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาหลายบทที่พูดถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเคล็ดลับสำคัญของการปรับพฤติกรรมให้สำเร็จคือ ‘การแทนที่พฤติกรรมเก่าด้วยพฤติกรรมใหม่’ พูดอีกอย่างคือ แทนที่คุณจะหมกมุ่นกับการแก้นิสัยเก่า คุณเดินไปหาพฤติกรรมใหม่ที่คุณทำได้เลยยังจะดีกว่า
เราขอยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นคนเก็บเงินไม่เก่ง แทนที่คุณจะตั้งหน้าตั้งตาบังคับตัวเองไม่ให้ใช้เงิน คุณก็หาประตูบานใหม่ด้วยการตัดสินใจซื้อเหมือนเดิม เพียงแต่ไปซื้ออะไรที่เป็นการลงทุนหรือการออมแทน เช่น กองทุน ประกัน ว่าง่ายๆ คือ คุณยังเป็นนักช้อปฯ เหมือนเดิม เพียงแต่คุณช้อปฯ สิ่งที่เข้าท่ามากขึ้น อย่างน้อยคุณอาจจะแก้นิสัยช่างซื้อไม่ได้ แต่คุณกำลังเปิดประตูบานใหม่ของการเป็นนักออมด้วยวิถีนักช้อปฯ ในแบบของคุณ
2) ประตูแห่งโอกาส
บางครั้งโชคชะตาไม่เข้าข้าง ทำให้หลายคนเจอปัญหาว่า ประตูแห่งโอกาสที่รอคอยถูกปิดลง เช่น เก็บเงินมาทำธุรกิจ แต่สุดท้ายมีเหตุต้องเอาเงินไปทำอย่างอื่นก่อน หรือตั้งใจอยากสอบเป็นผู้พิพากษา แต่สอบไม่ผ่านสักที แล้วคุณก็คิดว่านี่คือความล้มเหลวของคุณ
สิ่งสำคัญของการต่อสู้ในสมรภูมินี้ไม่ใช่เรื่องของสถานการณ์ภายนอก แต่เป็นเรื่องของทัศนคติหรือมุมมองในการรับมือ ซึ่งในหนังสือพูดไว้เยอะมากและยกมาหลายตัวอย่างที่พูดถึง การมีมุมมองที่พลิกสถานการณ์จากร้ายให้กลับมาดี จากที่ดูเหมือนทางตันแต่กลายเป็นพบทางออก ยกตัวอย่างเช่น เจ้าของธุรกิจรับจัดผลไม้ให้ออกมาเหมือนดอกไม้ หรือ Edible Arrangement ที่ถูกคนห้ามและหัวเราะเยาะไอเดียธุรกิจของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ทำมันได้สำเร็จ
เคล็ดลับสำคัญของการเปิดประตูด้านโอกาสคือ ‘คุณต้องมีความยืดหยุ่น’ เพราะทันทีที่คุณยืดหยุ่นกับตัวเอง คุณจะไม่ดันทุรังที่จะเปิดประตูบานนั้นบานเดียว แต่คุณจะเริ่มมองหาประตูบานอื่น และเชื่อเถอะว่า มีคนเยอะแยะมากมายที่กลับไปขอบคุณประตูบานที่ปิดลง เพราะมันทำให้เขาเจอประตูทองที่ยิ่งใหญ่กว่าประตูบานเก่า หรือกระทั่งบางทีการที่คุณเดินหน้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายวันหนึ่งคุณอาจพบว่าประตูบานที่ปิดได้ถูกปลดล็อกให้เปิดแล้วก็ได้
3) ประตูแห่งชีวิต
ประตูแห่งชีวิตฟังดูเป็นคำกว้างๆ คำใหญ่ๆ แต่ที่ตั้งใจจะหมายถึงคือแง่มุมอื่นนอกเหนือจากงานหรือนิสัยส่วนตัว เช่น ครอบครัว ความรัก ความเจ็บปวด สุขภาพร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น ประตูบานที่ปิดลงอาจหมายถึงการหย่าร้าง ประตูที่ปิดลงคือการจากไปของคนที่คุณรัก ประตูที่ปิดลงคือความเจ็บปวดที่ฝังและคอยหลอกหลอนอยู่ในชีวิตคุณราวกับเงาตามตัวที่แยกไม่ออก ประตูที่ปิดลงคือโรคร้ายที่คุณเผชิญหน้าอยู่
แม้หนังสือจะไม่พูดถึงเรื่องนี้ตรงๆ แต่การอ่านหนังสือเล่มนี้จะทำให้เห็นวิธีคิดหนึ่งที่ซ่อนอยู่ คือ ‘การมองโลกในแง่บวก’ เพราะแทบทุกบทจะเริ่มต้นด้วยสถานการณ์หรือปัญหาก่อน แต่สุดท้ายจะชี้ให้เห็นว่ามันมีคนที่คิดหาทางออกหรือคิดหาทางใหม่ๆ ที่จะผ่านสถานการณ์หรือปัญหาที่ใหญ่ราวกับภูเขานั้นไปได้ทั้งนั้น
เช่นเดียวกับประตูแห่งชีวิต การที่เราเจอทางตันหรือประตูที่ปิดลง ไม่ได้แปลว่าเราล้มเหลว หรือเราไม่สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ เปล่าเลย! การที่ประตูบานหนึ่งปิดลง มันก็คือการผลักคุณสู่โอกาสใหม่ๆ ต่างหาก คุณอาจไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่า คุณแกร่งแค่ไหน ถ้าคุณไม่เจอโรคร้ายหรือเหตุการณ์แย่ๆ ในชีวิต คุณอาจไม่รู้ว่าคุณรักภรรยาหรือสามีของคุณแค่ไหน เมื่อความสัมพันธ์ของคุณเดินมาถึงจุดของการหย่าร้าง
ทุกอย่างอาจดูเหมือนคุณพลาดโอกาส แต่อย่างที่บอก ถ้าคุณมองโลกในแง่บวกและคุณเดินหน้าต่อ คุณจะพบประตูบานใหม่แน่นอน
และนี่ก็คือหนังสือที่อยากจะแนะนำให้กับคนที่รู้สึกตันหรือคิดไม่ออกว่าต้องทำไงต่อดี? เพราะสุดท้าย ทางเลือกมี 2 ทาง คือ คุณจะเปลี่ยน หรือรอให้โลกเปลี่ยนคุณ