mini living

MINI LIVING URBAN CABIN | พื้นที่ทดลองกับคำถามท้าทาย จะค้นหาความสุขอย่างไรในวันที่โลกเล็กลงเรื่อยๆ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกในปัจจุบันนั้น ขนาดของพื้นที่อยู่อาศัยของผู้คน มีแนวโน้มที่จะหดเล็กลงเรื่อยๆ การเชื่อมต่อของผู้คน การมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในรูปแบบที่พบเจอเห็นหน้าแทบไม่มีโอกาสเกิดขึ้น นี่เป็นโจทย์ที่แสนท้าทายในอนาคตของทั้งเหล่านักออกแบบ และผู้อยู่อาศัย ว่าเราจะค้นหาความสุขบนข้อจำกัดและพื้นที่เล็กๆ กันอย่างไร วันนี้เราจะพาคุณไปเยี่ยมชมหนึ่งโปรเจ็กต์ทดลองที่น่าสนใจจากค่ายรถยนต์เล็กแต่ไอเดียใหญ่อย่าง MINI ที่ได้เปิดตัวนวัตกรรมที่อยู่อาศัยในงาน House Vision 2018 โดยใช้ชื่อ MINI LIVING URBAN CABIN รายละเอียดจะเป็นอย่างไรไปดูกัน

mini living

 

Big Life, Small Footprint

     จัดขึ้นเป็นประจำแทบทุกปีสำหรับงาน House Vision นิทรรศการความเป็นอยู่แห่งอนาคต ซึ่งมีขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2013 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นนิทรรศการที่เปิดโอกาสให้แบรนด์สินค้าระดับโลก มาโชว์นวัตกรรมสำหรับที่อยู่อาศัยในอนาคต ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็ตีโจทย์การอยู่ที่แตกต่างกันไป มีทั้งการนำแนวคิดบ้านอนาคตบนดาวอังคาร การใช้แผงโซลาร์เซลล์มาเป็นแหล่งพลังงานบนหลังคา ฯลฯ

     ซึ่งในปีนี้ MINI มาในคอนเซ็ปต์ Big Life, Small Footprint เล่าถึงโจทย์การออกแบบพื้นที่ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นเทรนด์ในยุคต่อไปในอนาคต ที่ปริมาณประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้น ในขณะที่พื้นที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่จะน้อยลง ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในยุคต่อไปที่จะเปลี่ยนไป ป่าคอนกรีตทำให้มนุษย์เราตัดขาดการเชื่อมสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

     ใน MINI LIVING URBAN CABIN จึงได้ออกแบบโดยใช้แนวคิดว่า จะสามารถใช้ประโยชน์พื้นที่ที่มีอยู่อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยที่ยังรักษารูปแบบการใช้ชีวิตแบบเดิมได้ด้วย ซึ่งครั้งนี้ MINI ได้ทำงานร่วมกันกับสตูดิโอสถาปนิกของจีน อย่าง PENDA ซึ่งก่อตั้งโดย Dayong Sun และ Chirs Pretch ซึ่งนำบริบทสำคัญทางประวัติศาสตร์จีน ในการนำเอกลักษณ์ของชุมชนโบราณอย่าง Hutong มาตีความใหม่

 

mini living

mini living

 

From Past to Future

     Hutong (หูท่ง) คือรูปแบบชุมชนโบราณที่มีอายุกว่า 800 ปี ของประเทศจีน เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1271-1368) โดยขุนนางในยุคสมัยก่อนจะได้รับพระราชทานพื้นที่รอบๆ พระราชวังเพื่อสร้างที่อยู่อาศัย ทำให้บนที่ดินจะเกิดซอยต่างๆ ขึ้นมา และตัวบ้านของชนชั้นรากหญ้าเกิดตามขึ้นมา ซึ่งตั้งอยู่ติดๆ กัน หูท่งบางที่มีระยะห่างของตัวอาคารเพียง 40 เซนติเมตรเท่านั้น ซึ่งทำให้ผู้คนต้องเชื่อมต่อและแบ่งปันประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่ขนาดเล็ก และรูปแบบของหูท่งก็เริ่มขยายออกไปเรื่อยๆ ตามพัฒนาของตัวเมือง ซึ่งในปี ค.ศ. 1986 ประเทศจีนยังมีชุมชนที่เป็นถนนแบบหูท่งกว่า 3,600 สาย โดยเฉพาะในเมืองปักกิ่งซึ่งเป็นเหมือนตัวแทนของวิถีชีวิตของประชาชนทั่วเมือง

     แต่การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบอยู่อาศัยแบบหูท่งเริ่มหายไป หลังจากประเทศจีนเริ่มเปิดประเทศตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2000 มีการรื้อถอนที่อยู่อาศัยแบบเก่าในตัวเมืองออกแทบทั้งหมด และเกิดเป็นตึกระฟ้าทั่วเมืองปักกิ่ง ปัจจุบันหูท่งจึงได้อนุรักษ์ไว้จำนวนหนึ่ง ซึ่งส่วนหนึ่งได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม

 

mini living

 

     โดยใน MINI LIVING URBAN CABIN ดีไซเนอร์ได้ยกคอนเซ็ปต์การอยู่อาศัยดังกล่าว มาพัฒนาต่อยอดให้เข้ากับเทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคต พื้นที่ในเคบิน ขนาด 15 ตารางเมตร ถูกคิดมาเป็นอย่างดีเพื่อมอบประสบการณ์การใช้สอยที่มากกว่าตาเห็น เช่น เตียงนอนที่สามารถสไลด์ออกไปด้านนอกได้ ผนังห้องที่หมุนสลับด้านเพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน หรือเพดานสีทองด้านบนของเคบิน ที่สะท้อนภาพบรรยากาศด้านนอก ให้ความรู้เหมือนเราเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ ในพื้นที่เดียวกัน ทั้งหมดนี้ยืนอยู่บนพื้นฐานความคิด ‘ใช้ทรัพยากรให้น้อย แต่ได้ประโยชน์ที่มากกว่า’ ไม่ต่างกับการออกแบบภายในของรถ MINI ที่แม้จะมีขนาดเล็ก แต่สามารถบรรจุความสุขและความสะดวกสบายของผู้ขับขี่เอาไว้ได้

 

mini living

mini living

mini living

 

Tomorrow Is Too Late

     ไม่แน่ใจว่าบางแนวคิดที่เราวาดหวังว่าจะทอดยาว และกลายเป็นคำตอบของอนาคต เมื่อมาถึงวันนั้นจริงๆ คำตอบจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ในมุมมองของนักออกแบบไทย ที่เรามีโอกาสร่วมเดินทางไปรับชมนิทรรศการนี้พร้อมกับเขาอย่าง ‘แจ็ค’ – ปิตุพงษ์ เชาวกุล ผู้ก่อตั้ง Supermachine Studio ได้ให้มุมมอง ไว้น่าสนใจมากๆ ว่าอนาคตที่ว่านั้นอาจจะอยู่ไม่ไกลอย่างที่เราคิดแล้ว

     “เทรนด์ที่อยู่อาศัยในอนาคตมันไม่มีหรอกที่จะใหญ่ขึ้น มันมีแต่จะเล็กลงๆ เพราะโลกเรามันก็มีเท่านี้ แต่คนมันมากขึ้น โจทย์ที่น่าสนใจก็คือว่า ในพื้นที่เล็กๆ เหล่านี้ เราจะสร้างให้เกิดประสบการณ์ที่ใหญ่กว่าพื้นที่ได้อย่างไร

     “คำว่า Big Life สำหรับผมคือการที่นักออกแบบสามารถสร้างโอกาส และความเป็นไปได้ ของสถาปัตยกรรมที่มันเปิดให้คนที่อยู่อาศัยสามารถไปมีประสบการณ์ข้างนอกได้ อันนี้ผมว่ามันสำคัญมากๆ”

     เช่นเดียวกันกับสองสถาปนิกผู้ก่อตั้ง Stu/D/O Architects อย่าง ‘โอ๋’ – อภิชาติ ศรีโรจนภิญโญ / ‘ดิว’ – ชนาสิต ชลศึกษ์ ซึ่งพวกเขาแชร์ความเห็นแนวทางการออกแบบในวันนี้และวันข้างหน้าไว้ว่า

     “สิ่งที่น่าสนใจของเคบินหลังนี้ คือการคำนึงถึงเรื่องของบริบทประวัติศาสตร์โดยรอบ เรื่องของผู้คน รวมไปถึงการดึงคาแร็กเตอร์ของเมือง มาเล่าผ่านความทรงจำของคนในพื้นที่ ซึ่งการแบ่งปันและเชื่อมต่อมันเป็นการทำให้คนมาพบปะกัน การที่นักออกแบบสามารถทำให้บ้านสามารถแชร์สิ่งต่างๆ ร่วมกับสังคมกับผู้คน มันเป็นการเปิดตัวเองออกมาก่อน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น คนอื่นก็จะแชร์ตัวเองออกมาเหมือนกัน และสุดท้ายจะเกิดเป็นคอมมูนิตี้ขึ้นมา”

     เรียกว่าเป็นคำถามใหญ่ที่แสนท้าทายในอนาคตว่า เราจะสามารถออกแบบพื้นที่ความสุขในวันที่โลกเล็กลงเรื่อยๆ ได้อย่างไร