i define me

I Define Me | 2 สาวต่างสไตล์ ที่ต่างค้นพบตัวเองในแบบที่… ตัวเองเป็น

ชวนคุณมารู้จักชีวิตของ 2 สาวต่างสไตล์ ‘พลอย’ – ไพลิน ตั้งประภาพร นักแสดงสาวแสนสดใส เจ้าของเพจ ‘พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?’ หญิงสาวที่หลงทางในชีวิตหลังเรียนจบ กับช่วงเวลาสำคัญที่ต้องตอบคำถามสำคัญในชีวิตว่าตัวตนและสิ่งที่ตัวเองต้องการทำจริงๆ คืออะไรกันแน่ และเหตุผลอะไรที่ทำให้เธอลุกออกมาหาคำตอบของคำถามดังกล่าวด้วยการออกเดินทางคนเดียวไปบนเส้นทางสายรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก ผ่านกว่า 8 ประเทศ จนกลายมาเป็นหนังสือ วิชาเดินทางหลังเลิกเรียน ที่เพิ่งวางแผงไปไม่นานมานี้

หญิงสาวอีกคน ‘ปั๋น’ – ดริสา การพจน์ หรือ Riety นักวาดภาพประกอบเต็มเวลา และนักแสดงพาร์ตไทม์ ผู้ชัดเจนกับเส้นทางชีวิตที่อยากเป็นนักวาดภาพมาตั้งแต่ต้น แต่ต้องเผชิญหน้าความจริงว่าชีวิตมีเงื่อนไขมากกว่าความอยากและความต้องการเท่านั้น ทำให้เธอต้องกล้าก้าวข้ามความกลัวเพื่อค้นหาตัวตนของตัวเองให้เจอ

ไปดูกันว่าพวกเธอค้นหาเส้นทางและความเป็นตัวเองได้อย่างไร ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้

i define me

 

ถ้าอยากจะหาคำตอบให้ตัวเอง จงลองทำและเริ่มต้นจากการ Proud of yourself คือภูมิใจในตัวเองก่อน เราเลยเหมือนกำคำนั้นเอาไว้ และลองคิดกลับมาว่าเราทำอะไรได้บ้าง

‘พลอย’ – ไพลิน ตั้งประภาพร นักแสดง / Blogger

 

I Define Me

     เราไม่รู้จะนิยามตัวเองอย่างไรเหมือนกันตอนนี้ เพราะเวลาคนถามว่าทำอาชีพอะไร เราจะตอบไม่ค่อยได้ เพราะว่าเราทำทั้งนักแสดง นางแบบ เขียนหนังสือ ฟรีแลนซ์รับเขียนคอนเทนต์ออนไลน์ หรือเป็นช่างภาพก็ทำเหมือนกัน จะมีหลายกลุ่มคนที่ชอบเราในหลายๆ แบบ บางคนตามเรามาจากละคร บางคนตามมาจากภาพถ่ายของเรา หรือบางคนก็ตามมาจากหนังสือที่เราเขียนเรื่องไปเที่ยว ส่วนตัวเองก็รู้สึกเหมือนเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง บางคนจะมองเราเป็นดารา เป็นนักแสดง แต่เรารู้สึกไม่ต่างจากคนอื่น อาจจะเป็นผู้หญิงสดใสร่าเริงมั้ง คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็มักจะบอกว่า เรามีพลังงานบวก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

 

Finding Yourself

     ที่เราตั้งเพจ พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ? ขึ้นมา เนื่องจากว่าตอนนั้นทำงานเป็นนักแสดงอยู่ แล้วก็เริ่มสงสัยว่างานแสดงมันใช่ที่สุดหรือเปล่า เพราะที่เราเข้ามาในวงการบันเทิงอาจจะเป็นเพราะโอกาสหรือความบังเอิญ แต่เราไม่ได้มีแพสชันแต่แรกว่าอยากจะเป็นนักแสดงโด่งดัง แล้วพอทำไปเรื่อยๆ จนใกล้เรียนจบคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นกับเราคือเราจะทำอาชีพนักแสดงจริงๆ เหรอ คือตอนเด็กๆ งานแสดงเป็นเหมือนอดิเรกที่เราทำไปด้วยเรียนไปด้วยมากกว่า

     พอเรียนจบแล้วเราก็รู้สึกว่าต้องหาอะไรที่มันจริงจังแล้วแหละ ถ้าไม่ใช่งานแสดงแล้วเราจะทำอะไรได้ ณ เวลานั้นพลอยไม่คิดว่าเป็นคำถามที่ทุกคนต้องคิด เราคิดว่าเราแปลก เรียนมาตั้งหลายปีเราไม่รู้คนเดียวเลยเหรอว่าอยากทำอะไร กดดันมาก บวกกับการที่ตัวเองก็มีคนรู้จักประมาณหนึ่ง ก็เลยรู้สึกเหมือนมีคนจับตามองเราตลอดเวลา ถ้าเราไปได้ไม่ดี ไปได้ไม่ไกล คนจะมองเราไม่ดีนะ ก็เลยพยายามค้นหาตัวเอง

     เราเลยเริ่มจากการให้เวลาตัวเองก่อน ตอนนั้นเรากดดันตัวเองมาก เร่งตัวเองทุกอย่างเลย แต่พอคิดไปคิดมาเลยรู้สึกว่าถ้าให้เวลาตัวเองสักปีหนึ่งในการที่ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ เลยตัดสินใจจะ Gap Year ไปเป็นครูบ้านนอก ไปเรียนภาษามือ ไปเรียนทำอาหารเพราะคิดว่าอาจจะอยากเป็นเชฟ (หัวเราะ) และสิ่งที่คนน่าจะรู้จักมากที่สุดก็คือการที่เราไปเที่ยวคนเดียวด้วยรถไฟทรานส์มองโกเลีย เป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟที่ยาวที่สุดในโลกเป็นเวลาหนึ่งเดือน ยาว 8 ประเทศ

 

i define me

i define me

 

Facing Your Fears

     ตอนแรกที่จองตั๋ว เราไม่ได้คิดว่าเป็นการก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนด้วยซ้ำ ไม่ได้รู้สึกกลัวด้วย แค่รู้สึกว่ามันท้าทาย น่าสนุก และคงได้อะไรเยอะมากๆ จากการไปครั้งนี้ แต่พอเราเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว กำลังจะออกเดินทางจริงๆ ความกลัวเริ่มเข้ามา เพิ่งมาคิดได้ว่า เฮ้ย นี่เราไปคนเดียวนะเว้ย ไม่มีใครจะมาช่วยเราแล้วนะ เราจะไปคนเดียวจริงๆ เหรอ ถ้าพาสปอร์ตหายจะทำไง ถ้าเกิดอุบัติเหตุจะทำไง คือกลัวหลายอย่างมาก

     แต่ด้วยความที่เราจองทุกอย่างไปแล้วเราก็ต้องไป ถ้าถามว่าจัดการกับความกลัวยังไง คือก็ต้องอยู่กับมัน แต่พอเราผ่านไปได้ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ความกลัวก็ค่อยๆ ลดลง จนพอท้ายๆ ทริปที่ไปรัสเซียก็ไม่กลัวอะไรแล้ว ใครชวนไปทำอะไรก็ไป แล้วการท่องเที่ยวครั้งนั้นทำให้เรารู้จักตัวเองเยอะขึ้นมากๆ เราสามารถก้าวข้ามสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองได้จริงๆ โดยไม่ต้องมีใครช่วยก็ได้ เพราะก่อนหน้านั้นมีคนช่วยเรามาตลอด เหมือนตอนแรกเราเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ หลายคนอาจจะคิดว่าพลอยเก่ง พลอยทำอะไรได้หลายอย่าง ถ่ายรูปได้ เป็นนักแสดง เป็นนางแบบ แต่เรารู้สึกว่าไม่ได้เก่งขนาดนั้น เราไม่รู้ว่าคำชมนั้นเป็นคำชมจริงๆ หรือเขาแค่พูดๆ ไป

     จนในทริปนั้นเราได้คุยกับคุณลุงคนหนึ่ง เขาบอกว่าถ้าอยากจะหาคำตอบให้ตัวเองจงลองทำและเริ่มต้นจากการ Proud of yourself คือภูมิใจในตัวเองก่อน เราเลยเหมือนกำคำนั้นเอาไว้ และลองคิดกลับมาว่าเราทำอะไรได้บ้าง และพอเราได้ไปเที่ยวและทำสิ่งที่ทำได้ เออ เราภูมิใจกับตัวเองว่ะ คำถามที่เราถามมันไม่มีคำตอบ มีแต่สิ่งที่เราทำแล้วสบายใจ หรือที่ที่เราอยู่แล้วสบายใจมากกว่า

 

i define me

 

เราเชื่อว่าการได้มีโอกาสค้นหาว่าแพสชันของเราคืออะไร ทำให้เรามั่นใจในการลงมือทำสิ่งที่เราเลือก ทำให้เราสร้างตัวตนที่ชัดเจนของเราขึ้นมาได้ ทำให้ตัวเองเป็น only one

The Threat of Stereotype

     เมื่อก่อนคนจะชอบคิดว่าผู้หญิงที่สวยต้องเป็นผู้หญิงขาว ผอม หน้าวีเชฟ ปากกระจับ แต่เรารู้สึกว่ามันไม่เกี่ยว คนผิวแทนก็สวยเหมือนกัน คือเรารู้สึกว่าความเป็นธรรมชาติมันมีเสน่ห์มากกว่า ไม่ใช่แค่หน้าตานะ ทัศนคติ การกระทำมันส่งผลกับคนเรา

     ถ้าเป็นคนโดน Stereotype เราก็คงจะคิดมากแหละ แต่ก็คงจะมีจุดหนึ่งที่คิดว่าช่างมันเถอะ เราก็เป็นอย่างนี้แหละ เราว่าก่อนที่จะตัดสินคนอื่นลองเข้าไปรู้จักเขา ไปฟังตัวตนเขาก่อน การฟังช่วยให้เรามองเห็นคนอื่นชัดขึ้นว่าเขาเป็นคนอย่างไร อย่างเราเป็นคนที่ชอบฟังชีวิตคนอื่น และรู้สึกว่าทุกคนมีชีวิตที่น่าสนใจกันหมดเลย ทุกคนมีเรื่องเล่าเสมอ เมื่อเราเข้าใจอะไรมากขึ้น การมองตัวเองจะเปลี่ยนไป การมองโลกจะเปลี่ยนไป เราจะไม่ใช่แค่เข้าใจตัวเอง แต่เราจะเข้าใจคนอื่นด้วย

     จริงๆ แล้วพอเราเป็นตัวเอง ก็จะรู้สึกว่าไม่มีใครมาจับจ้องเราขนาดนั้นด้วยซ้ำ คือทุกคนกำลังมุ่งมั่นกับชีวิตตัวเองอยู่ คงไม่มีใครมาสนใจอะไรเราหรอก พอปล่อยให้ตัวเองรู้สึกว่าทำอะไรก็ได้ เราก็ได้เห็นว่า เออ ทุกคนก็พร้อมสนับสนุนเรา ที่ผ่านมาเราแค่กดดันตัวเอง คือทุกคนจะถามตลอดว่าเราเดินทางแล้ว ทำเพจแล้ว เจอคำตอบหรือยังว่าจะทำอะไร เรารู้สึกว่าตัวเองรู้คำตอบแล้ว แต่ไม่ใช่คำตอบว่าจะทำอะไรต่อ แต่เรารู้ว่าเราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องรีบเร่งที่จะประสบความสำเร็จหรือว่าเป็นที่หนึ่ง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปในจังหวะของตัวเองดีกว่า คือทุกคนมีจังหวะของตัวเอง เราแค่ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า

 

i define me

 

The True Meaning of Beauty

     ช่วงที่ถ่ายรูปเยอะๆ เราจะชอบถ่ายผู้หญิงมาก แล้วเวลามองผู้หญิงจะรู้สึกว่าทุกคนสวยหมดเลย จะรู้สึกว่าทุกคนมีเสน่ห์ในแบบของคนคนนั้น ตอนแรกที่มองอาจจะรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้าเรารู้จักเขาเราจะเห็นความสวยเขามากขึ้นเรื่อยๆ 

     เราชอบเห็นคนยิ้ม คนร่าเริง แล้วเวลามองคน เราชอบมองที่สุดคือเวลาที่เขาเผลอเป็นธรรมชาติ ยิ้มตาหยีๆ เราจะรู้สึกว่าเขาน่ารักจัง หรือว่าคนที่เขามุ่งมั่นกับการทำงานมากๆ เราเห็นสายตาที่มุ่งมั่นของเขา มันมีเสน่ห์มากๆ เราชอบมองอะไรแบบนั้นมา เราว่าเหมือนที่คนบอกว่าสายตาบ่งบอกทุกอย่าง เวลาที่ผู้หญิงมีสายตามุ่งมั่นก็มีเสน่ห์แบบหนึ่ง หรือคนที่ยิ้มเราก็รู้สึกถึงความร่าเริง โลกนี้สดใสจังเลย

     พลอยว่าเวลาเราเป็นตัวเอง เราไม่ได้รู้สึกต้องเป็นเหมือนใคร เพราะถึงแม้เราพยายามจะเหมือนคนอื่น แต่ว่าเขาคนนั้นก็คือเขา เราไม่สามารถเป็นเหมือนเขาได้อยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าทำไมเราไม่ทำตัวเองให้เป็น only one บ้าง เพราะทุกคนมีเสน่ห์ มีดวงตา มีแววตา มีรอยยิ้มที่ไม่เหมือนกันได้ ทุกคนเป็นตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องเหมือนใคร แล้วเรารู้สึกว่าต้องเป็นคุณเท่านั้น ต้องเป็นคุณคนเดียว

 

i define me

 

 

เราเคยโดน Stereotype ว่า Dumb Blonde ผู้หญิงสวยต้องโง่ ผู้หญิงสวยต้องไม่เก่ง ผู้หญิงสวยต้องใช้หน้าตาปีนตัวเองขึ้นมา

 

‘ปั๋น’ – ดริสา การพจน์ นักวาดภาพประกอบ / นักแสดง

 

I Define Me

     ตอนนี้ปั๋นเป็นนักวาดภาพประกอบ แล้วก็เป็นนักแสดงอิสระ คือตอนแรกคนจะรู้จักเราจากนักวาดภาพประกอบก่อน จะมีนิทรรศการที่เราวาดรูปผู้หญิงด้วยเลือด ชื่อ Vein/Vain แล้วนิทรรศการก็ไวรัล คนเริ่มรู้จักเราเยอะ แต่ก่อนหน้านั้นเราก็วาดรูปมาตลอดหลายปีแล้ว แต่งานที่ทำมักจะเป็นงานเชิงพาณิชย์หมดเลย ตอนนั้นเลยรู้สึกว่าอยากทำงานที่เป็นตัวเอง เลยทำงานนี้ขึ้นมา

     ปั๋นรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ปล่อยเซอร์ตามธรรมชาติมากๆ นะ (หัวเราะ) ในเรื่องความคิด เราจะเป็นอะไรก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ เป็นไปเหอะ ช่างมันเถอะ วันนี้อยากแต่งตัวอย่างนี้ วันนี้อย่างแต่งตัวอย่างนั้น ไม่ได้ไปปิดตัวเองว่าไอ้นั่นไอ้นี่ทำไม่ได้ วันนี้อยากเป็นสาวเปรี้ยวก็จะเปรี้ยวจี๊ดเลย ถ้าอยากห้าวก็จะหล่อสุด วันนี้อยากหวานก็จะหวานให้สุด (หัวเราะ)

 

Finding Yourself

     เรารู้จักตัวเองมาตลอดนะว่าอยากวาดรูป มันเป็นสิ่งที่อยากทำและเป็นเป้าหมายของเราตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ได้รู้สึกอยากโตไปทำอย่างอื่นหรือเป็นอย่างอื่นเลย มันมาจากความทรงจำแรกๆ ที่เราจำได้คือคนชมว่าเราวาดรูปสวย พอเราวาดได้ก็ลองวาดมาเรื่อยๆ เพื่อนในห้องมาให้เราวาดรูปให้ เราก็แฮปปี้ในการแลกเปลี่ยนให้เขาทำการบ้านวิชาอื่นให้ (หัวเราะ) หลังจากนั้นเราเริ่มอ่านการ์ตูน ตอนสักตอน ป.4 ป.5 แล้วตอนนั้นมันมีการ์ตูนอย่าง โจ สิงห์สังเวียน ที่เล่าเรื่องอาชีพต่างๆ ในญี่ปุ่น มีอาชีพนักวาดการ์ตูนด้วย เราเลยรู้สึกว่าอยากไปญี่ปุ่นอยากเป็นนักวาดภาพการ์ตูน

     คือการวาดรูปกับเราไม่เหมือนรักแรกพบ เหมือนอารมณ์เพื่อนกันที่จู่ๆ กลายเป็นแฟนมากกว่า (หัวเราะ) เราทำมันได้ดีและรู้สึกจิตใจสงบ นี่เป็นที่ของเรา เป็นตัวเอง เลยอยากทำมัน ตอนนั้นเลยคิดว่าจะหาวิธีไหนที่จะทำให้ตัวเองได้วาดรูปไปตลอดชีวิตบ้าง ซึ่งนั่นก็คือการเป็นนักวาดการ์ตูนนักวาดภาพประกอบ แต่ความจริงที่เจอคืออาชีพนักเขียนการ์ตูนในประเทศนี้ไม่เป็นที่นิยม มันไม่มีอนาคตขนาดนั้น แล้วพอเข้าไปเรียน มัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เราก็ได้เห็นว่ามันมีแนวศิลปะอื่นๆ ในโลก ก็เลยลองวาดมันทุกแนว เข้าห้องสมุดไปเอาหนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะมาลอกลายเส้น ตั้งแต่ยุคอาร์ตนูโว ยุควิคตอเรียน คลาสสิก โมเดิร์นมาเลย แล้วเราก็ค่อยๆ ปรับลายเส้นมาเป็นสไตล์ของเรา

 

i define me

i define me

 

Facing Your Fears

     ปั๋นเห็นคนที่วาดรูปหลายคนเลยนะที่ไม่รู้จักตัวเอง เพราะว่าบางคนคุยกับตัวเอง แต่ว่าไม่ได้มองตัวเองในแบบที่เป็น หมายถึงว่าคิดในสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็น แต่ไม่ได้มองว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นใคร ซึ่งเราเองก็เคยมีช่วงเวลาแบบนั้น มันเป็นช่วงที่อินสตาแกรมเริ่มมา แล้วเราเริ่มลงรูปวาดตัวเอง กับลงรูปถ่ายตัวเอง แล้วคนกดไลก์รูปถ่ายที่เป็นรูปหน้าเราเยอะกว่า เลยคิดว่าในฐานะนักวาด เราจะไม่ลงรูปตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นเราจะเป็นนักวาดที่ขายหน้าตาสิ เรามีฝีมือ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ขายหน้าตา และด้วยความอีโก้นั้นเราก็ไม่ลงรูปตัวเองเลย ลงแต่รูปวาดๆ จนถึงวันที่อาชีพเรามาถึงทางตัน ถ้าเราทำแบบนั้นต่อไป สุดท้ายนอกจากเราจะไม่ได้งานในแบบที่อยากทำและไม่ได้กระโจนลงไปถึงจุดที่อยากจะกระโจน เราอาจจะไม่ได้วาดรูปอีกเลย อาจจะไปเป็นคนจัดเลย์เอาต์ จัดกราฟิก คือเราไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น เราอยากวาดมือ ไม่ได้อยากทำงานกับคอม เลยต้องหักดิบคิดว่าหน้าตาก็เป็นอาวุธหนึ่งของเราเหมือนกัน งั้นเราลงรูปตัวเองคู่กับงานแล้วกัน

     หลังจากนั้นเราก็ตกลงรับงานชิ้นหนึ่งออกแบบคอลเล็กชันให้แบรนด์เครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง ชื่อคอลเล็กชันว่า Beauty of Thailand ซึ่งเราต้องออกแบบ CI ทั้งโปรเจ็กต์ แต่มีเงื่อนไขว่าเราต้องถ่ายโฆษณาและโชว์หน้าตัวเองด้วย ในที่สุดเราก็ตัดสินใจรับงานนี้ เพราะคิดว่านี่เป็นงานที่เราทำได้ดี และถ้าเราจะเดินไปข้างหน้าก็ต้องทำสิ่งที่ดีให้ดีขึ้นไปอีก หลังจากงานนั้นเราก็ได้รับงานวาดที่ใหญ่ขึ้นๆ แล้วก็ได้งานแสดงซึ่งเป็นงานที่เราไม่เคยทำ กลายเป็นว่าตอนแรกเรากลัวไปเอง เหมือนเราวาดฝันว่าอยากจะเป็นคนอื่นที่ไม่อยู่บนความเป็นจริง

 

i define me

 

 

อยากให้คนคิดว่า ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ไม่ใช่ทำแล้วกลายมาเป็นหน้ากากบังสิ่งที่ตัวเองเป็น อยากให้ทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีอยู่แล้วให้ดีมากยิ่งขึ้น ขออย่างเดียวคืออย่าเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง

 

The Threat of Stereotype

     เราเคยโดน Stereotype ว่า Dumb Blonde ผู้หญิงสวยต้องโง่ ผู้หญิงสวยต้องไม่เก่ง ผู้หญิงสวยต้องใช้หน้าตาปีนตัวเองขึ้นมาพอมีคนมาคอมเมนต์นิดเดียวว่าเขาคงไม่ได้วาดรูปเก่งหรอก ใช้หน้าตาได้แคมเปญมาหรือเปล่า ข้างในเฮิร์ตแบบ 10 ริกเตอร์ (หัวเราะ) แต่ก็มาคิดได้ว่าเรามีหน้าตาแต่ไม่ได้ทำให้วาดรูปห่วยนี่ เราเป็นแบบนี้แต่ก็ยังวาดรูปได้เหมือนเดิม เรายังตั้งใจทำงานเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย มีแค่อีโก้ของตัวเองที่ลดลงและเรารู้จักตัวเองมากขึ้น

     ก่อนหน้านี้ เวลาอยู่ข้างนอกเราจะไม่กล้าพูดเสียงดัง หรือเวลามีคนมาสนใจเราก็จะเดินหนี แต่ทุกวันนี้ก็คิดว่าเราก็เป็นตัวเองแบบนี้แหละ ถ้าชอบก็โอเค ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร กลายเป็นว่าเราเข้าใจคนอื่นมากขึ้นไปด้วย เราเข้าใจว่าเวลาที่คนเจอสิ่งที่ไม่รู้จัก สมมติให้เดินเข้าห้องมืดสองห้อง ห้องหนึ่งรู้ว่ามีแมลงสาบกับอีกห้องที่ไม่รู้ว่ามีอะไร คนจะเดินเข้าห้องที่มีแมลงสาบ คนกลัวความไม่รู้ และก็จะพยายามจับทุกคนทุก Stereotype เพราะการ Stereotype คนอื่นทำให้เราสบายใจ เหมือนเราอยู่ในเซฟโซนของเรา

 

i define me

 

The True Meaning of Beauty

     ปั๋นชอบความเป็นธรรมชาติ เรารู้สึกว่าความสวยที่ธรรมชาติสร้างมาดีที่สุดแล้ว เช่น ภูเขา ทะเล แม่น้ำ วิวธรรมชาติ หรือผู้หญิงที่มีความเป็นธรรมชาติ เราคิดว่าทุกคนมีความสวยแบบตัวเอง อาจจะแต่งแต้มได้นะถ้าตัวเองรู้สึกสนุก เราสนใจผู้หญิงที่รู้สึกสนุกกับตัวเอง กล้าเล่นนู่นเล่นนี่ิจะเวิร์กไม่เวิร์กไม่เป็นไร ถ้าอยากจะแต่งตัวก็ทำเพราะธรรมชาติตัวเองเป็นแบบนี้ ไม่ได้เปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร

     ปั๋นว่าการที่เราจะเป็นตัวของตัวเองได้มันต้อง Deep Understanding Yourself ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งปั๋นว่าอย่างแรกคือเราต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้ก่อน คุณต้องไม่รู้สึกว่าความรัก สิ่งที่คุณได้รับ หรือสิ่งที่คุณมีขึ้นอยู่กับคนอื่น เช่น ขึ้นอยู่กับแฟนคลับ ขึ้นอยู่กับคนรัก เพราะว่าถ้าคุณยึดติดตัวคุณกับคนอื่น ถ้าเขาบอกว่าอยากให้คุณเปลี่ยนแปลง หรือว่าเขาเปลี่ยนไป คุณก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น คือเราต้องเริ่มจากฐานที่มั่นคงก่อน สามารถให้สิ่งที่ตัวเองต้องการได้ เงินทอง อาหาร ที่อยู่อาศัย ความรัก รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เหมือนประกอบพีระมิดขึ้นมา ซึ่งถ้าทำทั้งหมดได้คุณจะเข้าใจตัวเอง

     เราว่าถ้าอยากรู้จักใคร ให้ลองมองที่ดวงตา เพราะว่าดวงตาเป็นสิ่งที่บอกความเป็นเขาได้ทุกอย่าง บางคนอาจจะผ่านความเศร้ามา บางคนเป็นคนมั่นใจ เป็นคนร่าเริง ซึ่งเราชอบมากๆ เลยเวลามองคนที่มีไฟในชีวิตอยู่ มีความเป็นตัวเอง เป็นธรรมชาติ เราสัมผัสจากดวงตาของเขาได้ คือปั๋นอยากให้คนคิดว่าอไม่ว่าจะทำอะไร ขอให้ไม่ใช่ทำแล้วกลายมาเป็นหน้ากากบังสิ่งที่ตัวเองเป็น อยากให้ทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีอยู่แล้วให้ดีมากยิ่งขึ้น ขออย่างเดียวคืออย่าเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง