อังกฤษเป็นชนชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องกีฬาฟุตบอล นอกจากเป็นกีฬาประจำชาติแล้ว ยังเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกอย่างมาก แทบจะฝังอยู่ในสายเลือดของชาวอังกฤษเลยก็ว่าได้ ในการแข่งขันฟุตบอลของประเทศอังกฤษนั้น แต่ละฤดูกาลจะมีทัวร์นาเมนต์ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดให้ชิงแชมป์อยู่ 3 รายการ นั่นก็คือพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และลีก คัพ โดยแต่ละทัวร์นาเมนต์ก็จะมีรูปแบบการแข่งขันและเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป
หากใครที่เป็นแฟนกีฬาฟุตบอลอังกฤษ คงจะคุ้นชื่อกันดีกับการแข่งขันชิงถ้วยลีก คัพ ซึ่งจัดโดย EFL ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ อันเป็นหนึ่งในสามของถ้วยที่ยิ่งใหญ่และสำคัญบนเกาะอังกฤษ ที่มีประวัติศาสตร์กว่า 59 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งทัวร์นาเมนต์นี้ขึ้นมาในปี 1960 ปัจจุบันมีสโมสรเข้าร่วมทั้งหมด 92 ทีม จากพรีเมียร์ลีก, เดอะ แชมป์เปี้ยนชิพ, ลีกวัน และลีกทู ซึ่งเป็นทีมจากลีกอาชีพของอังกฤษ ที่อาจจะมีสโมสรจากเวลส์รวมอยู่ด้วย
ถึงแม้เทียบกับสองถ้วยใหญ่อย่างพรีเมียร์ ลีก หรือเอฟเอ คัพ แล้ว ถ้วยลีก คัพ อาจถูกค่อนขอดว่าเป็นถ้วยเล็กที่สุด และทีมใหญ่ๆ ไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่ศักดิ์ศรีและเสน่ห์ของการแข่งขันนั้นเข้มข้นไม่แพ้ถ้วยใหญ่ๆ อย่างแน่นอน เพราะถึงแม้จะเป็นถ้วยที่มีเงินรางวัลน้อยที่สุด แต่ก็เป็นถ้วยที่เปิดโอกาสให้นักเตะและสโมสรเล็กๆ ได้มีโอกาสโชว์ฝีเท้าต่อหน้าสโมสรใหญ่ และเป็นถ้วยที่ทำให้สโมสรจากดิวิชันล่างได้มีโอกาสปะทะฝีแข้งกับนักเตะบิ๊กเนมจากสโมสรใหญ่ฝั่งพรีเมียร์ลีก สร้างเกียรติประวัติเพิ่มให้สโมสร นอกจากนั้นยังได้รายได้จากค่าขายตั๋วเข้าชมเกม และหากเข้ารอบลึกๆ ก็จะได้ค่าลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดการแข่งขันเพิ่ม
ในทางตรงกันข้าม ทีมใหญ่ก็จะมีโอกาสได้ทดลองส่งนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดีให้สัมผัสกับเกมเพิ่มประสบการณ์พัฒนาฝีเท้า แต่บางสโมสรก็เลือกส่งผู้เล่นชุดใหญ่ที่ดีที่สุดลงสนาม ดังนั้น รับประกันว่าดีกรีของความมันไม่แพ้เกมการแข่งขันชิงถ้วยใหญ่ๆ แน่นอน เพราะนั่นหมายถึงว่าทุกทีมมีโอกาสที่จะสามารถก้าวไปถึงแชมป์ได้ หากทำผลงานได้ดีพอ และไม่จำเป็นต้องเป็นทีมใหญ่เท่านั้นที่มีสิทธิ์คว้าถ้วย ในอดีตก็เคยมีทีมม้ามืดที่สามารถพลิกล็อกหักปากกาเซียนหลายสำนักและก้าวไปถึงแชมป์เปียนมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบล็กเบิร์น โรเวอร์ ในฤดูกาล 2001-2002, มิดเดิลสโบรห์ ในฤดูกาล 2003-2004 หรือสวอนซี ซิตี ในฤดูกาล 2012-2013
ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ชนะเลิศในถ้วยนี้ จะได้สิทธิ์ในการไปเล่นในถ้วยใหญ่เป็นอันดับสองของฟุตบอลยุโรปอย่างยูโรป้า ลีก ในรอบคัดเลือกรอบสอง ฤดูกาล 2019-2020 สร้างรายได้เพิ่มให้สโมสรในรูปแบบค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดหรือค่าโฆษณา
แต่สิ่งที่พิเศษไปกว่านั้นคือ การที่ถ้วยใบนี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์สัญชาติไทยแท้อย่างคาราบาว แบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังที่เราคุ้นเคยกันดีเป็นสปอนเซอร์หลักในการแข่งขัน และในปัจจุบัน ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นคาราบาว คัพ
แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่แบรนด์ไทยแบรนด์หนึ่งจะมีโอกาสได้เป็นผู้สนับสนุนของกีฬาฟุตบอลที่เป็นลีกระดับสูงสุดของประเทศอังกฤษ และสามารถใช้ชื่อแบรนด์บนถ้วยรางวัลได้แบบนี้ ปกติแล้วชื่อรายการแข่งขันนั้นจะมีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามชื่อของผู้สนับสนุนหลัก ที่ผ่านมาสปอนเซอร์ที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นบริษัทหรือกลุ่มธุรกิจภายในประเทศเอง
ดังนั้น การได้เห็นชื่อของแบรนด์สัญชาติไทยไปโลดแล่นเป็นผู้สนับสนุนหลักของกีฬายอดฮิตระดับโลกอย่างฟุตบอล โดยเฉพาะการแข่งขันชิงถ้วยที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาและมีความสำคัญอย่าง ลีก คัพ ก็ถือได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งสำหรับคนไทย รวมไปถึงแฟนกีฬาลูกหนังชาวไทย ถือเป็นการนำแบรนด์ไทยสู่ระดับสากลและเป็นบทพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าแบรนด์ไทยสามารถประสบความสำเร็จเคียงข้างกับแบรนด์ระดับโลกเทียบเท่าแบรนด์ระดับโลกอื่นๆ ได้เช่นกัน
เกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลคาราบาว คัพ ที่จะเกิดขึ้นวันอาทิตย์นี้ จะเป็นคิวของบิ๊กเนมแห่งเกาะอังกฤษอย่างสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี กับเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี นอกเหนือจากการแข่งขันสุดเข้มข้นสูสีในเวลา 90 นาทีแล้ว ก็จะโมเมนต์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญให้คนไทยและผู้รับชมเกมการแข่งขันทั่วโลกได้เห็นกัน นั่นคือการได้เห็นน้าแอ๊ด คาราบาว และคุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ในฐานะสักขีพยานคนสำคัญที่จะเดินลงไปในสนามเวมบลีย์ สนามประจำชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนอังกฤษเพื่อเปิดการแข่งขัน รวมไปถึงเป็นผู้มอบถ้วยรางวัลแชมป์ให้กับทีมผู้ชนะเลิศด้วยตนเอง
หรือแม้แต่การได้เห็นชื่อแบรนด์ไทยปรากฏในป้ายโฆษณาข้างสนามตลอดการแข่งขัน และที่สำคัญคือการที่สโมสรเชลซีซึ่งมีคาราบาวเป็นสปอนเซอร์ได้เข้าชิงในนัดนี้ ก็ยิ่งทำให้เกมนี้น่าจับตาทั้งในและนอกสนาม ถือเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ ความประทับใจ ของศึกชิงถ้วยคาราบาว คัพ ในฤดูกาลนี้
ความน่าสนใจของการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศนี้คงไม่ใช่แค่การได้ดูเชลซีกับแมนเชสเตอร์ซิตีเพียงอย่างเดียว แต่คงจะเป็นการที่จะได้เห็นแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังสัญชาติไทยอย่างคาราบาวไปปรากฏต่อสายตาของผู้คนจากหลายล้านคนทั่วโลก