City Tales: ปารีสกำลังสอนให้ข้าพเจ้ามีความรัก

“ข้าพเจ้ารักปารีส”

ประโยคขึ้นต้นในหนังสือ ความรักของวัลยา ที่ผู้เขียน เสนีย์ เสาวพงศ์ มาเฉลยเอาในบรรทัดต่อไปว่า

        “ไม่ใช่เพราะปารีสมีไวน์และแชมเปญรสอร่อย ไม่ใช่เพราะปารีสมีระบำคาบาเรต์… มีเสน่ห์ด้วยผู้หญิงที่ฌ็องเซลิเซ, ปิกาล, มาดแลน และกลีชี”

        อย่างที่ใครเข้าใจหรอก หากแต่เป็นเพราะ “ปารีสเป็นเมืองชีวิต ปารีสเป็นเมืองเก่าแก่ที่ได้เห็นเลือด น้ำตา ความทารุณ การต่อสู้ ความเสียสละ ความทรยศ การปฏิวัติ” ต่างหาก

        ปารีสเป็นเมืองที่ค้างคามานาน เมืองศูนย์กลางยุโรปที่ใครๆ ก็ต้องผ่าน แต่การได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึงความคลิเช่ของปารีส ร่ายไปจนถึง ‘Paris Syndrome’ อาการประสาทที่ปารีสไม่เป็นดั่งฝัน ไม่โรแมนติกตามที่นักท่องเที่ยวผู้หลีกหนีความจริงแสวงหา รวมไปถึงประสบการณ์จากเหล่าผู้มาเยือนที่แปะป้ายว่าปารีสควรได้ฉายาว่าเป็นเมืองอันตรายเสียมากกว่า เจ็บแสบไปถึงขั้นว่า หนูที่ออกมาตามท่อน้ำอาจเห็นได้ง่ายกว่าน้ำใจผู้คน ก็ทำให้แผนการเดินทางไม่เคยจอดลงที่ปารีสเสียที

       แต่ความค้างคาใจมันต้องไปเห็นกับตา จะคนหรือจะเมือง สุดท้ายความยุติธรรมมันควรจะเกิดด้วยการไม่ตัดสิน หากไปเห็นและเข้าใจด้วยตัวเอง

        “ข้าพเจ้ารักปารีส”

        เปล่า, ครั้งนี้ไม่ใช่ประโยคขึ้นต้นในหนังสือใดๆ หากแต่เป็นประโยคที่จรดลงสมุด ในร้านหนังสือเล็กๆ ที่เปิดให้คนนั่งอ่านเขียนกันได้ตามสบาย ใครบางคนเคยบอกไว้ว่าร้านหนังสือเป็นกระจกสะท้อนความสนใจคนในสังคมนั้น กวาดตาดูก็เริ่มไม่แปลกใจที่นักคิด นักปรัชญาหลายคนจะมาจากดินแดนแถบนี้ หนังสือแนวคิดวิเคราะห์เหตุบ้านการเมืองมีให้เห็นกระจาย จะผ่อนคลายลงมาหน่อยก็เห็นจะเป็นหนังสือแนวรักๆ ใคร่ๆ ที่ดูจะมีปารีสเป็นฉากหลังไม่น้อย ถ้าจะบอกว่าคนปารีสนั้นเต็มไปด้วย ‘pride’ หรือความภาคภูมิใจหนึ่งในนั้นก็ดูท่าจะเป็นเรื่องฉากม่านความโรแมนติกของตนเองนั่นแหละ

        เมืองโรแมนติกคนเลยชอบแสดงออกซึ่งความรัก หรือคนชอบแสดงออกซึ่งความรักเลยทำให้เมืองนั้นโรแมนติก ก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่า ในคำปรามาสว่าคนปารีสมีความกระด้าง แท้จริงนั้นมีอารมณ์ละเมียดซ่อนอยู่ ความละเมียดที่แสดงออกในรสชาติของขนมอบยามเช้า กลิ่นของดอกกุหลาบและราสป์เบอรีที่ไม่จัดเกินไปจนกลบรสชาติวัตถุดิบอื่นๆ ของขนมหวานยามบ่าย ชายหนุ่มผูกไทที่ขี่จักรยานและมีบาแกตต์โผล่ออกมาจากถุงผ้า ริมแม่น้ำแซนและบรรยากาศตึกรามบ้านช่องที่ผ่านประวัติศาสตร์มาอย่างโชกโชนเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมานั่งกันริมสะพาน ริมน้ำแห่งนั้นดูจะไม่เลือกปฏิบัติกับใครไม่ว่าจะเกิดหรือโตที่ไหน มีสถานะอะไรก็ตาม ณ ริมน้ำแห่งนั้น, ทุกคนดูจะมีสิทธิละเลียดกับส่วนผสมของเมืองที่เกิดขึ้นกลายเป็นฉากปัจจุบันตรงหน้า โดยไม่ต้องจับจอง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ด้วยตัวเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของมันนั่นเอง

        ข้าพเจ้ารักปารีส…

 

        “ปารีสเป็นเมืองเก่าแก่ที่ได้เห็นเลือด น้ำตา ความทารุณ การต่อสู้ ความเสียสละ ความทรยศ การปฏิวัติ ปารีสอาจไม่ทันสมัยด้วยไม่มีตึกรามบ้านเรือนแบบใหม่ และสะอาดสะอ้านเช่นเมืองหลวงของหลายประเทศ แต่ความสง่างามอย่างโบราณ และเหตุการณ์ในอดีตที่จารึกลงด้วยตัวอักษรที่มองไม่เห็นในกำแพงอิฐ บนแผ่นหินที่ปูอยู่ในปลัสเดอลากงกอร์ดในแผ่นหินของคุกบาสตีย์ที่ถูกทำลายจนไม่เหลือซากให้เห็นอีกต่อไปอีก… เลือดและน้ำตาที่ยังไหลวนอยู่ในแม่น้ำแซน กระดูกมนุษย์และเศษอาวุธเก่าๆ ที่กระแสน้ำกัดจนกร่อนและตะไคร่น้ำจับยังคงจมอยู่ในท้องน้ำ เหล่านี้เป็นความภาคภูมิใจปารีสอย่างไม่มีเมืองใดมีและไม่มีเมืองใดเหมือน…”

 

        หากร่องรอยการต่อสู้ของปารีสในซอกมุมต่างๆ ของเมืองไม่เคยถูกลบเลือนไป หากการสืบทอดทางความคิดเรื่องเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ไม่จำกัดอยู่แค่ในคำขวัญประจำชาติ หากความโรแมนติกที่แท้จริงของปารีสหาใช่ความรักระหว่างชายหญิงสองคน แต่หมายถึงความรักที่ขยายสู่วงกว้างไปสู่ประชาชนและเพื่อนมนุษย์ทั่วไป

        ก็อาจกล่าวได้ว่า, ปารีสกำลังสอนให้ข้าพเจ้ามีความรัก