ประสบการณ์สอนเราว่า การเดินทางที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องมีการวางแผน แต่ก็เป็นประสบการณ์อีกเช่นกันที่ทำให้เห็นว่าการเดินทางที่น่าจดจำมักเกิดจากการนำแผนที่มีอยู่ในมือวางลงบ้าง เราเริ่มต้นเดินทางกับนิสัยไม่วางแผนใดๆ ไม่ฟันธงตัดสินใจอะไรล่วงหน้า คิดว่าจะไปสนุกอะไรหากรู้ล่วงหน้าไปหมดทุกสิ่ง มีกำหนดการไปหมดทุกอย่าง แต่การไปถึงแล้วหาที่พักไม่ได้ ไม่มีรถต่อระหว่างเมือง ต้องรอที่สถานีรถไฟยามวิกาล มือถือแบตฯ ใกล้จะหมดโดยที่ยังไม่รู้ว่าจุดต่อไปคือที่ไหน หรือราคาตั๋วหน้างานที่สูงลิบลิ่วห่างกันเป็นเท่าตัว หลายคนอาจมองว่านั่นคือการผจญภัย แต่การผจญภัยในบางครั้งก็หมายถึงความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน และความไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ครั้งผ่านๆ มาก็ค่อยๆ เปลี่ยนให้เรากลายเป็นมนุษย์ที่เริ่มวางแผนยามเดินทาง
แต่ก็อีกนั่นแหละ ใช่ว่าวางแผนแล้วทุกอย่างจะราบรื่น ไร้ความผจญภัยเสมอไป เพราะการวางแผนที่รัดกุม ไม่เผื่อใจกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันไว้บ้างก็นำมาซึ่งความเสี่ยงในรูปแบบอื่นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรถดีเลย์ทำให้ไปต่อรถที่จองไว้ล่วงหน้าแล้วไม่ทัน ไปถึงแล้วรู้จักคนใหม่ๆ จนอยากอยู่ที่นู่นต่อ พบเจอกับมิตรภาพที่ไม่ได้วางแผนไว้ และคงจะพลาดไปหากไม่ยืดหยุ่นกับแผนระหว่างทาง
ทริปนี้ในเบลเยียมก็เช่นกัน ด้วยเวลาจำกัด จึงต้องตัดสินใจระหว่างบรูจส์ (Brugge) หรือเกนต์ (Gent) ก่อนการเดินทาง รูปภาพเมืองเก่าราวกับนิยายของบรูจส์ และข้อมูลต่างๆ ที่บอกเล่าว่าบรูจส์นั้นถูกค้นพบตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 9 และกลายมาเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญ รวบรวมจำหน่ายสินค้าจากเมืองรอบข้าง รวมถึงเกนต์เอง ทั้งภาพที่เห็นและข้อมูลที่ได้มาทำให้ด่วนเปรียบเทียบทึกทักไปเองว่าความเก่าแก่กว่าหมายถึงความน่าสนใจกว่า และตัดสินใจว่าจะไปเมืองบรูจส์ แต่ก็ตามเคยเพราะแผนที่วางไว้ไม่เคยเป็นไปตามแผน เมื่อรถไฟที่จะไปบรูจส์วันนั้นมีเหตุขัดข้องและทำให้ต้องแวะพักที่เกนต์ เมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างทางไปโดยปริยาย
เมื่อใจจดจ่ออยู่กับบรูจส์แล้ว จึงบอกตัวเองอย่างเสียไม่ได้ว่าจะแวะเมืองนี้แค่สักพัก แล้วเดี๋ยวค่อยนั่งไปบรูจส์ต่อ คิดไปพลางเก็บของเตรียมลงจากรถไฟ คุณป้าที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งมาตลอดเวลาน่าจะดูออกว่าเรามาเมืองนี้เป็นครั้งแรก จึงถามว่าจะไปที่ไหน ตามมาด้วยประโยคบอกเล่าว่า ป้าเป็นคนเมืองเกนต์นี่แหละ แต่ไปอยู่เมืองอื่นมาซะนาน วันนี้กลับมาเยี่ยมน้องชายของป้าที่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล ครั้นเมื่อลงจากรถมาแล้ว ป้าก็หันมาถามว่ารู้หรือยังว่าจะเข้าไปในเมืองยังไง ยังไม่ทันจะตอบป้าก็พาเดินไปที่ตู้ขายตั๋ว พร้อมแวะหยิบแผนที่จาก information center ติดๆ กันมาให้ตอนที่เรากำลังซื้อตั๋วอยู่ ยื่นแผนที่ทุกอย่างให้เสร็จสรรพ แล้วบอกว่าเดี๋ยวป้ากำลังจะเข้าไปในเมืองเหมือนกัน ไปพร้อมๆ กันนี่แหละ
ถามป้าว่าไม่ต้องไปเยี่ยมน้องชายแล้วหรอ ป้าก็ตอบกลับมาว่า น้องชายป้าความจำไม่ดีแล้ว และป้าจะอยู่เมืองนี้อีกหลายวัน ป้าไม่รีบไปไหน ความรู้สึกตอนนั้นคือทั้งขอบคุณ เกรงใจ และคิดไปสะระตะระมัดระวัง เพราะการเดินทาง
คนเดียวนั้น ต่อให้ทุกอย่างน่าไว้ใจแค่ไหนก็ต้องพึงมีสติไหวตัวไว้ก่อนอยู่ดี แต่ด้วยความที่ป้ายืนยันว่าป้าไม่รีบ และป้าเองก็อยากจะแนะนำบ้านเกิดของป้าให้ผู้เดินทางมาเยือนเหมือนกัน เมื่อป้าพูดขนาดนั้น ประกอบกับสายตาของป้าที่ดูจะปราศจากเจตนาไม่ดี คงจะเป็นการเสียน้ำใจและตัดสินมนุษย์เกินไปนักหากปฏิเสธออกไป จึงตัดสินใจเดินในเมืองเกนต์กับป้า อะไรจะเกิดขึ้นไม่รู้ สิ่งเดียวที่รับรู้และควบคุมได้คือสติของตนเอง
คุณป้าแนะนำตัวเองว่าชื่อ กาเบรียลลา เกิดและโตที่เมืองนี้จนกระทั่งแต่งงานจึงย้ายไปอยู่กับสามี มีลูกสาวหนึ่งคน ที่ตอนนี้ไปทำงานอยู่ประเทศอื่นในยุโรป ป้าบอกว่าใจจริงป้าไม่อยากย้ายออกจากเกนต์ เพราะป้ารักเมืองนี้มาก แต่ยิ่งโต คนในครอบครัวก็ค่อยๆ ห่างหาย ตายจากไปทีละคน ป้าจึงไม่ค่อยกลับมาบ้านเกิดที่ป้ารักเสียเท่าไหร่ เพราะเมืองมันเปลี่ยนไป เมื่อไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเหมือนเคย
ป้าสลับเล่าเรื่องราวของป้ากับเรื่องราวของเมืองตามจุดที่เดินผ่าน กลายเป็นว่าทั้งเกนต์และป้ากาเบรียลลาทำเอาเรารู้สึกผิดกับการด่วนตัดสินใจเมืองนี้ว่า ‘น่าสนใจน้อยกว่า’ เมืองเป้าหมายปลายทาง เพราะถึงแม้เกนต์จะไม่เก่าแก่ในเชิงประวัติศาสตร์เท่ากับอีกเมืองนั้น แต่เสน่ห์เฉพาะตัวของเกนต์คือความย้อนแย้งระหว่างความเก่าและความใหม่ ตึก อาคาร สะพาน ปราสาท ที่บางจุดถูกเริ่มสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ยังดูมีชีวิตชีวา เพราะไม่ได้ถูกแช่แข็งแต่เปลี่ยนสภาพการใช้งาน เช่น ลานพักผ่อนของนักเดินเรือถูกเปลี่ยนมาเป็นลานอเนกประสงค์ของโรงแรม แต่ยังคงสภาพเผยให้เห็นความเป็นพื้นที่สาธารณะดั้งเดิมไว้ โรงฆ่าสัตว์ถูกเปลี่ยนมาเป็นคาเฟ่ที่ยังเก็บคานเชือดทิ้งร่องรอยบอกเล่าเรื่องราวว่ามันเคยถูกใช้ทำหน้าที่อะไร โชคดีที่เครื่องประหารและทรมานนักโทษในปราสาทกลางเมืองไม่ถูกนำมาใช้งานในปัจจุบัน
ความใจดีโดยธรรมชาติของป้ากาเบรียลลาเองก็ทำให้เราอดรู้สึกผิดไม่ได้ที่ระแวดระวังตัดสินความเป็นมนุษย์ด้วยความกลัวในความไม่ปลอดภัยในตอนต้น เพราะตลอดทางที่เดินด้วยกันนั้น ป้ากาเบรียลลาดูแลเราเหมือนเป็นลูกหลานที่กลับมาเยี่ยมเมืองของป้าจริงๆ เมื่อเราหยุดแวะดูร้านวาฟเฟิลที่ว่ากันว่าเป็นเจ้าของสูตรดั้งเดิมของเบลเยียม วาฟเฟิลที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไปแล้วนั้น ป้าอาจเห็นสายตาของเราที่มองไปในร้าน เลยอาจคิดว่าเราหิว จึงหยิบขนมในกระเป๋าออกมาให้ แม้เราจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่ป้าก็ยัดใส่มือแล้วบอกว่าถ้าไม่กินตอนนี้ก็เก็บไว้กินระหว่างทาง ป้าอยากให้ชิมขนมร้านโปรดของป้า พอเดินผ่านร้าน frites มันฝรั่งทอดแบบเบลเยียม ป้าแค่เห็นเราหันไปมอง ก็เดินไปคุยกับคนที่ยืนกินอยู่ขอให้แบ่งให้เราชิม เลยต้องรีบบอกว่าไม่เป็นไร รีบอธิบายว่าจะซื้อเองอยู่แล้ว พอซื้อมาแล้วแบ่งกับป้า ป้าก็ยิ้มขอบคุณเสียมากมาย ทั้งที่เป็นเราที่ควรจะเอ่ยขอบคุณป้าเสียมากกว่า
กลายเป็นว่าการเดินกับป้ากาเบรียลลาในเกนต์ที่เสน่ห์จัดเหลือทน เพลินจนลืมว่ามีอีกเมืองเป็นจุดหมายปลายทางต่อไป เมื่อป้าหันมาถามว่าจะขึ้นรถไฟต่อไปบรูจส์เมื่อไหร่ จึงบอกกับป้าว่าเปลี่ยนใจแล้ว คิดว่าจะเดินเล่นในเกนต์ต่ออีกสักพัก ป้าไม่พูดอะไรแต่ยิ้มออกมา สองคนแปลกหน้าเมื่อชั่วโมงที่แล้วเดินกันต่อไปเรื่อยๆ มีหลายครั้งที่ป้ากาเบรียลลาหยุดแวะจุดต่างๆ เนิ่นนาน ดูท่าทางแล้วป้าน่าจะคิดถึงเมืองนี้มากจริงๆ แต่ที่คิดถึงมากที่สุดน่าจะเป็นครอบครัวของป้าที่เคยอยู่เมืองนี้ด้วยกัน และลูกสาวของป้าที่ไปทำงานต่างประเทศที่ป้าน่าจะคิดถึงเป็นพิเศษ และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ป้าหันมาถามเรา, หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวคนเดียวของป้า, ว่าจะไปไหน และอาสาพาเดินเที่ยวชมเมืองที่ป้าอยู่มาเกินครึ่งชีวิต บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่ป้าอยากทำกับลูกสาวของป้า แต่วิถีแห่งปัจเจกชน การเติบโต หน้าที่ ความฝันในชีวิตบางทีก็ดูจะไม่เอื้อให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวเติบโตไปพร้อมกันเท่าไหร่
เราเองฟังป้าพูดไปก็พลันคิดถึงพ่อกับแม่ ยิ่งโตยิ่งมีเรื่องให้ต้องห่าง เหมือนเราต่างกำลังไขว่คว้าเป้าหมายมากมายในชีวิต แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่เราทั้งหลายต้องการในความต่างของความฝันอาจคือการได้ใช้เวลากับคนที่มีความสำคัญระหว่างทางเติบโตบ้างก็พอ
ป้ากาเบรียลลามาส่งที่สถานีรถไฟจุดเดิม ป้าบอกกับเราว่าไม่อยากให้การหยุดพักที่เกนต์นี้ทำให้เราเสียความตั้งใจในการเดินทางไปอีกเมือง เพราะบรูจส์เป็นเมืองที่สวยและน่าสนใจไม่แพ้กัน เราหันมาขอบคุณป้ากาเบรียลลาที่พาเราเที่ยวชมเมืองเกนต์ บ้านเกิดของป้า และทำให้การเดินทางครั้งนี้น่าจดจำเป็นพิเศษ แต่จริงๆ แล้วลึกๆ ข้างในคำขอบคุณนั้น คือการขอบคุณถึงบทเรียนเรื่องความวางใจในโชคชะตานำพา ไว้ใจในมนุษย์ และสะท้อนให้เห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ในชีวิต ที่ยิ่งดูจะชัดขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางและความห่างระหว่างการเดินทาง