วลาดีวอสตอค

City Tales | วลาดีวอสตอค (Vladivostok) ที่ซึ่งตะวันออกพบตะวันตก และความฝันพบความจริง

สุดเขตปลายรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย สุดสายปลายทางการเดินทาง คือเส้นทางหนึ่งที่ฝันไว้ สุดขอบดินแดนโลกตะวันตก ล่องข้ามน่านน้ำมหาสมุทรนั่นไปก็คือโลกตะวันออกที่เราเริ่มออกเดินทาง หากทรานส์-ไซบีเรียคือความฝัน วลาดีวอสตอค (Vladivostok) คือเมืองปลายทางที่เราไม่อยากก้าวมาถึง เพราะมันเป็นสัญญาณว่าความฝันนั้นจบลงแล้ว

วลาดีวอสตอค

 

     วลาดีวอสตอค เป็นประตูบ้านของรัสเซียฝั่งเอเชียแปซิฟิก จุดเริ่มต้นเส้นทางในฝันทรานส์-ไซบีเรียของใครหลายคน และเป็นจุดสิ้นสุดการเดินทางของใครบางคนรวมทั้งตัวเราเอง

     นอกจากที่ตั้งสุดตะวันออกไกลของรัสเซีย ใกล้เอเชียมากกว่ายุโรปของเมืองนี้แล้ว อากาศที่ไม่ร้อนไป ไม่หนาวจัด (เมื่อเทียบกับเมืองอื่นในรัสเซีย) ผู้คนเองก็ดูจะยิ้มแย้ม มีท่าทีผ่อนคลายกว่าเมืองอื่นๆ ที่ได้เจอมา ราวกับว่าพอนั่งรถไฟมาสุดทาง รัสเซียประเทศเดิมนั้นก็ได้เปลี่ยนไป

     ผู้คนดูจะเป็นมิตรขึ้น ยิ้มมากขึ้นอย่างรู้สึกได้ อาหารเองก็ดูจะหลากหลาย รสชาติพอมีเจือปนรสเครื่องเทศพอประมาณ พอให้ปุ่มรับรสในปากได้พอทำงานอีกครั้ง หลังเจอแต่รสชาติ Piroshki ขนมปังทอดไส้หมูผักกาดในรถไฟมานานหลายวัน

 

     มักมีผู้เรียกวลาดีวอสตอคว่าเป็น ‘ซานฟรานซิสโกแห่งรัสเซีย’ ด้วยความที่ตั้งอยู่ริมขอบมหาสมุทรแปซิฟิก ตะวันตกติดจีน ตะวันออกติดทะเลญี่ปุ่น อีกทั้งยังมีสะพาน Zolotoy สะพานแขวนเชื่อมต่อเมืองทั้งสองฝั่งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของสองเมืองที่คล้ายกัน การถูกเปรียบเทียบเช่นนั้นก็ออกจะฟังไม่เข้าท่าไปเสียหน่อย เมื่อได้รับรู้เรื่องราวของเมืองว่า วลาดีวอสตอคเองนั้นถูกตัดขาดจากการค้ากับต่างชาติโดยสิ้นเชิงเมื่อโซเวียตยึดเมืองนี้มาจากจีน และใช้เมืองนี้เป็นเมืองท่าฝั่งตะวันออกของโซเวียตในสมัยนั้น แต่ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะว่าอย่างไร วลาดีวอสตอคก็คู่ควรแก่ชื่อเสียงเรียงนามของตัวเอง มากกว่าจะถูกเอาไปเทียบเพื่อนิยามการมีอยู่ของมันอยู่ดี

     ถึงแม้ภาพจำของวลาดีวอสตอคจะเป็นเพียงเมืองพระรอง เป็นเมือง ‘ทางผ่าน’ ของเส้นทางรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย และเคยเป็นเพียงที่ตั้งกองทัพของโซเวียตที่ดูจะไม่เชื่อมต่อกับรัสเซียเมืองอื่นด้วยระยะทาง หนำซ้ำยังเคยถูกตัดขาดจากภูมิภาคอื่นด้วยภูมิประเทศและอุณหภูมิการเมืองโลกเป็นช่วงเวลานาน

     แต่ในปัจจุบันนี้ วลาดีวอสตอคกำลังได้รับบทบาทเพิ่ม ได้รับการปรับโฉม สร้างภาพลักษณ์ใหม่ ถูกเชื่อมต่อเข้ากับเมืองและประเทศอื่นๆ ตามที่เมืองท่าควรจะเป็น ให้วลาดีวอสตอคไม่เป็นแค่เมืองผ่านทางอีกต่อไป หากเป็นจุดหมายการเดินทางในตัวเองกับสถานะเมืองท่องเที่ยวสันทนาการ ดึงดูดนักท่องเที่ยวเพื่อนบ้านจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ที่แห่กันเดินทางมายังวลาดีวอสตอคที่อยู่ห่างไปเพียง 2 ชั่วโมง แต่กลับได้บรรยากาศราวกับได้ออกเดินทางท่องไปในแดนห่างไกล แตกต่างทั้งผู้คน วิถีชีวิต และวัฒนธรรม

 

วลาดีวอสตอค

 

     “น่าอยู่กว่าที่คาดไว้ มีอะไรให้เที่ยวกว่าที่คิด”

     คือความเห็นของลูก้า ชาวสวิสที่เจอกันในโฮสเทล ผู้เล่าว่าอยู่วลาดีวอสตอคมาแล้วสัปดาห์กว่าๆ และยังไม่รีบร้อนจะไปไหน ลูก้าแนะนำให้นั่งรถสาย 31 ซึ่งวิ่งเลียบขอบชายฝั่งเมืองไปตลอดเส้นทาง รถจะไปจอดสุดสายที่หมู่บ้านชาวประมง หรือจะลงระหว่างทางและเปลี่ยนสายรถไป Mayak the Lighthouse ประภาคารสุดขอบชายฝั่งตะวันออกของรัสเซียก็ยังได้ เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าของโฮสเทลก็โผล่มาร่วมวงสนทนา ชี้ไปที่รูปถ่ายบนฝาผนังและเล่าว่า ชาววลาดีวอสตอคทุกคนต้องมีรูปถ่ายคู่กับเจ้าประภาคาร สัญลักษณ์เมืองนี้

     ใช้เวลาเดินทางกว่าชั่วโมง ไปลงที่สถานีจอดรถแห่งหนึ่งที่ดูไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นสถานที่สำคัญไปได้ยังไง เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ก็มีคุณป้าชาวรัสเซียนคนหนึ่งถามว่ากำลังจะไป Mayak the Lighthouse ใช่ไหม คุณป้าสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นคำๆ ไม่เต็มรูปประโยค แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจจะสื่อสาร “เม้นี่ ทัวร์ริสต์ โก โก แด้ด เวย์ อะบิตฟาร์ บัตบิวตี้ฟูล” และชี้ทางให้เดินลงเนินเขา

     เดินตามขอบเขาที่คุณป้าชี้ทางให้ไปเรื่อยๆ อีกกว่าสองกิโลเมตร เริ่มเห็นสัญญาณผู้คนที่ส่วนใหญ่นั่งรถสวนกันมา เหงื่อเต็มหลังจนทำให้เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะไม่เดินกันก็จริง แต่วิวระหว่างทางนั้นกลับทำให้ดีใจที่ได้ออกเดิน ยิ่งเข้าไปใกล้ยิ่งเห็นประภาคารชัดขึ้น แต่เท้ากลับก้าวช้าลง เพราะวิวข้างหน้ามันชวนให้หยุดจ้องมองค้างเติ่งตลอดทาง ภาพประภาคารสีออฟไวต์ตั้งอยู่บนสุดหาดทรายสีขาวที่ลากยาวเป็นทางเดินแคบๆ กลางมหาสมุทรซึ่งเชื่อมต่อสองทวีปเข้าด้วยกัน

 

วลาดีวอสตอค

 

     ความรู้สึกประหลาดยามได้เดินเข้าไปใกล้ประภาคาร คล้ายความรู้สึกที่อธิบายยากยามนั่งรถไฟข้ามรัสเซีย เมื่อภาพที่มองใกล้ๆ ตอนเดินบนหาดทรายไปยังประภาคารสีขาวไม่ได้สวยจัดชัดเจนเท่าภาพที่มองไกลจากเนินเขา การได้เดินบนเส้นทางในฝัน เอาเข้าจริงมันเป็นอีกหนึ่งการก้าวเดิน เป็นอีกหนึ่งหาดทรายสีขาว เป็นอีกหนึ่งทางรถไฟ และไม่ได้เป็นสถานที่มหัศจรรย์เกินเอื้อมถึง ไม่ได้เป็นดินแดนต้องมนต์ราวกับฝันครั้งมองเห็นจากระยะไกล ใช่! ภาพที่ปรากฏมันไม่ได้สวยงามเมื่อมองใกล้ๆ

     แต่มันคือประสบการณ์ ความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้นที่ท่วมท้นเมื่อรู้สึกตัวขึ้นได้ว่า เรากำลังได้เดินอยู่บนหาดทรายสีขาวที่ทอดผ่านไปใจกลางมหาสมุทรเชื่อมต่อระหว่างสองทวีป ได้ผ่านการนั่งรถไฟสายที่ยาวที่สุดในโลก ทั้งเส้นทางเดิน ทั้งทางรถไฟที่เคยเป็นภาพฝันไกลๆ ณ ห้วงเวลานั้นมันคือความจริง แม้จะไม่ได้มหัศจรรย์ งดงามเกินภาพฝัน แต่ความรู้สึกที่รับรู้ได้ว่าฝันกลายเป็นจริงนั้นมันก่อให้เกิดความรู้สึกพิเศษล้ำมากไปกว่าความสวยงามที่ปรากฏตรงหน้า

     ค่อยๆ ก้าวขาออกไปเรื่อยๆ ตามทางเดินหาดทรายสีขาว ทางเดินค่อยๆ แคบลงเรื่อยๆ น้ำค่อยๆ เข้ามากินพื้นที่ทางเดินมากขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกถึงน้ำทะเลที่ซึมเข้ามาในรองเท้า จนในที่สุดก็ตัดสินใจเดินเท้าเปล่า ปล่อยให้กายหยาบได้สัมผัสกับกายภาพของโลกผ่านน้ำทะเลที่เชื่อมต่อสองทวีปเข้าด้วยกันไว้ ความรู้สึกที่ทรายสัมผัสเท้า ทรายขาวที่เราเคยมองว่าสวยงามจากรูปถ่าย ช่วงเวลานี้นั้นอยู่ภายใต้เท้าเรา ทรายเล็กๆ ซึ่งไม่ต่างจากทรายที่ไหน หากแต่มันเป็นทรายที่เราตั้งใจมาเจอ เป็นทรายที่ทำให้เท้าก้าวออกเดิน

 

วลาดีวอสตอค

วลาดีวอสตอค

 

     ประภาคารสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ลมแรงโบกพัดไปมา ครอบครัวมานั่งเล่นกันราวกับเป็นวันปกติของพวกเขา แต่วันนี้ไม่ใช่วันปกติสำหรับเรา มันคือวันสุดท้ายในรัสเซีย และเป็นวันสุดท้ายของการเดินทาง

     ภาพที่มองออกไปข้างหน้า สุดหาดทรายขาวคือน้ำทะเลที่เป็นจุดเริ่มต้นของมหาสมุทรแปซิฟิกที่เชื่อมต่อกับเอเชีย ดินแดนที่เราจากมา ตอนที่ลมพัดหน้า เมื่อมองออกไปแล้วรู้สึกตัวขึ้นมาในใจว่าอีกฝั่งคือดินแดนของ ‘บ้าน’ แห่งความจริง และที่ที่เรายืนอยู่จุดนี้คือปลายทางแห่งความฝัน ความรู้สึกขอบคุณก็เกิดขึ้นท่วมท้นขึ้นมาโดยพลัน – ขอบคุณการเดินทางที่ผ่านมา ขอบคุณผู้คนที่พบผ่าน ขอบคุณตัวเองที่ก้าวเดิน ก้าวข้ามความกลัวในใจ จนมายืนอยู่จุดนี้ ที่ซึ่งความกลัวได้จางหาย กับความขอบคุณที่เข้ามาแทน

     วลาดีวอสตอค สุดเขตปลายรถไฟสายทรานส์-ไซบีเรีย สุดสายปลายทางการเดินทาง ที่ซึ่งตะวันออกพบตะวันตก ที่ซึ่งความฝันพบความจริง