ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของรถยนต์ค่าย Volvo (วอลโว่) นั้น มีความเกี่ยวพันกับนวัตกรรมด้านความปลอดภัยมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าจะมาเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ถูกขนาดนามว่า ‘ปลอดภัยที่สุดในโลก’ อย่างทุกวันนี้ วอลโว่ค่อยๆ เติบโตผ่านการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มานับไม่ถ้วน
ตั้งแต่การคิดค้น ‘เข็มขัดนิรภัย 3 จุด’ ที่เราใช้กันในปัจจุบัน การพัฒนา ‘เบาะนั่งในรถยนต์สำหรับเด็ก’ มาจนถึงภารกิจล่าสุด ในชื่อ ‘Vision 2020’ กับเป้าหมายลดการเสียชีวิตในรถยนต์วอลโว่ให้เหลือ 0 ราย ภายในปี 2020 นับเป็นงานที่ท้าทาย แต่ก็มีความเป็นไปได้ ซึ่งเราเองก็อยากเห็นบริษัทรถยนต์ผู้คิดค้นเข็มขัดนิรภัยแห่งนี้ พิสูจน์ฝีมือได้สำเร็จ
และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ระหว่างที่เรารอคอยปี 2020 ให้มาถึง เราจึงอยากพาคุณย้อนดูสุดยอดนวัตกรรม ที่เริ่มต้นขึ้นจากมันสมองของชาว Volvo ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน
1959: เข็มขัดนิรภัย 3 จุด (Three-point Safety Belt)
ย้อนกลับไปเมื่อปี1959 เข็มขัดนิรภัย 3 จุด ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยแนวคิดของ Nils Bohlin วิศวกรของวอลโว่ ชายผู้ได้รับการขนานนามว่สเปนผู้ช่วยชีวิตคนนับล้านผ่านการประดิษฐ์คิดค้นของเขา หลังจากที่วอลโว่ได้ยกเลิกสิทธิบัตรที่เป็นเจ้าของเข็มขัดนิรภัย 3 จุดลง ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ นำนวัตกรรมชิ้นนี้มาใช้เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่ และพัฒนาต่อมาเป็นเข็มขัดนิรภัยแบบเดียวกับที่เราใช้กันในปัจจุบัน
1972: เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กแบบหันหน้าไปด้านหลัง (Rearward-facing Child Safety Seat)
อีกหนึ่งนวัตกรรมความปลอดภัยที่วอลโว่ให้ความสำคัญอย่างมาก คงจะหนีไม่พ้นเรื่องความปลอดภัยในรถของเด็ก ซึ่งวอลโว่ได้คิดค้นเบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็กมาตั้งแต่ช่วงปี 1972 โดยนำหลักการมาจากที่นั่งยามปล่อยตัวของยานอวกาศมาพัฒนาขึ้นเป็นเบาะนั่งนิรภัยแบบหันไปทางด้านหลัง เพื่อกระจายแรงกระแทกและลดการบาดเจ็บให้เหลือน้อยที่สุด
วอลโว่ได้พัฒนาเบาะนั่งเสริมในรถยนต์สำหรับเด็ก ในปี 1976 และอีกครั้งในปี 1990 ด้วยเบาะเสริมแบบติดตั้งอยู่ในตัวเบาะที่นั่งโดยตรง ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการปรับปรุงให้สามารถเพิ่มลดความสูงต่ำ สไลด์ปรับตำแหน่งได้ตามขนาดตัวผู้โดยสารเพื่อให้เข็มขัดนิรภัยแน่นหนาที่สุด และล่าสุดในปี 2014 กับเบาะนั่งในรถยนต์สำหรับทารกและเด็ก ที่นอกจากจะเพิ่มความปลอดภัยและมีน้ำหนักเบาขึ้นแล้ว ยังสามารถปรับขนาดได้ตามสะดวกอีกด้วย
1976: ออกซิเจน เซนเซอร์ (Lambda Sond)
Lambda Sond หรือตัวเซนเซอร์แก๊สออกซิเจนนี้ เป็นอีกนวัตกรรมของวอลโว่ในการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่สะอาดขึ้น มันถูกพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกโดยบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ Bosch ซึ่งวอลโว่เป็นผู้ผลิตรถยนต์เจ้าแรกที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ฟอกไอเสียจากเครื่องยนต์ เมื่อปี 1976 โดยอุปกรณ์เล็กๆ ที่มีขนาดเท่ากับนิ้วมือนี้จะคอยทำหน้าที่ตรวจวัดระดับออกซิเจนเพื่อปรับการทำงานของเครื่องฟอกไอเสียให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จนทำให้รถยนต์วอลโว่สามารถลดมลพิษในไอเสียลงได้ถึง 90% และทำให้กว่า 40 ปีที่ผ่านมา รถเบนซินเกือบทุกคันในโลกมีเจ้า Lambda Sond ติดตั้งอยู่
2003: ระบบข้อมูลจุดบอด (BLIS: Blind Spot Information System)
ระบบข้อมูลจุดบอด หรือในชื่อย่อภาษาอังกฤษว่า BLIS ถูกนำมาใช้งานเป็นครั้งแรกในปี 2003 โดยเป็นฟังก์ชันที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือคนขับ ในระหว่างการขับขี่ในการจราจรที่หนาแน่นและมีช่องทางเดินหลายช่องทาง หน้าที่ของระบบ BLIS คือการเตือนเมื่อมียานพาหนะอยู่ในบริเวณจุดบอดของรถ ที่ผู้ขับอาจมองไม่เห็นอย่างด้านข้างหรือด้านหลัง รวมถึงเมื่อมียานพาหนะวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วในช่องทางเดินรถด้านซ้ายหรือด้านขวาที่ติดกับรถ ระบบจะเตือนด้วยสัญญาณไฟที่ติดอยู่บริเวณกระจกมองข้างเพื่อให้คนขับตัดสินใจขับขี่ได้อย่างระมัดระวัง
2008: เซ็นเซอร์เลเซอร์ (City Safety™)
จากสถิติที่วอลโว่ค้นพบว่ากว่าร้อยละ 70 ของการเฉี่ยวชนนั้นเกิดขึ้นที่ความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชั่วโมง และกว่าครึ่งของการชนจากด้านหลัง ผู้ขับรถชนไม่ได้ทำการเบรกใดๆ เลย ด้วยเหตุนี้ ระบบ City Safety จึงเกิดขึ้นเพื่อติดตามการจราจรด้านหน้ารถ ผ่านเลเซอร์เซ็นเซอร์ที่จะคอยตรวจจับความเสี่ยงในการชนกับรถคันหน้า ซึ่งหากผู้ขับไม่เหยียบเบรก ระบบจะทำการหยุดรถเองโดยอัตโนมัติ โดยระบบ City Safety นี้สามารถทำงานได้จนถึงความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชั่วโมง
2010: การตรวจจับคนเดินถนนพร้อมการเบรกอัตโนมัติเต็มรูปแบบ
เพราะความปลอดภัยบนท้องถนนที่วอลโว่ให้ความสำคัญนั้นเป็นมากกว่าแค่ความปลอดภัยของผู้ขับขี่ ในปี 2010 วอลโว่จึงพัฒนานวัตกรรมด้านความปลอดภัยให้การคุ้มครองคนเดินถนน (Pedestrian) ที่อยู่ภายนอกรถด้วย จึงเกิดเป็นระบบเตือนคนขับเมื่อมีคนวิ่งตัดหน้ารถ จากการจับสัญญาณจากเรดาร์และกล้อง เพื่อทำการเบรกโดยอัตโนมัติหากคนขับเบรกไม่ทัน
2019: รถยนต์วอลโว่ทุกคันจะเป็นรถยนต์อิเล็กทริกหรือไฮบริดเท่านั้น
เมื่อกลางปี 2017 วอลโว่ได้ประกาศจุดยืนที่ชัดเจนว่า นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นไป รถยนต์ทุกคันที่บริษัทผลิตจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า/ไฮบริดที่อาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่เท่านั้น! รวมถึงยกเลิกการผลิตรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้ทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคอิเล็กทริกครั้งนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ของบริษัท ซึ่งวอลโว่ยังเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายแรกที่ออกมาประกาศชัดในประเด็นดังกล่าวอีกด้วย