reebok

Reebok | แบรนด์สินค้ากีฬาที่เป็นมากกว่ารองเท้าสุดคลาสสิก

เปิดตัวกันไปสดๆ ร้อนๆ ในแคมเปญ ‘Always Classic’ ของ Reebok ที่นำรองเท้าระดับตำนานของยุค 80s ทั้ง 4 รุ่นมาให้คุณจับจองกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Classic Leather, Workout Plus, Club C และ Freestyle Hi ที่ล้วนปฏิวัติวงการสปอร์ตแวร์ในสมัยนั้น และทำให้ชื่อของ Reebok เข้ามาอยู่ในลิสต์ ‘ของมันต้องมี’ ของเหล่าสนีกเกอร์เฮดยุคนี้ และเราจะพาคุณไปดูประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่าร้อยปีของแบรนด์นี้กัน

reebok

Profile

     Reebok แบรนด์สินค้ากีฬาที่มีอายุยาวนานกว่า 123 ปี ก่อตั้งโดย โจเซฟ วิลเลียม ฟอสเตอร์ เด็กหนุ่มชาวอังกฤษจากเมืองโบลตัน แรกเริ่มเป็นบริษัทออกแบบรองเท้าวิ่ง และขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่สินค้าแฟชั่น รองเท้าฟุตบอล รองเท้าบาสเกตบอล จนในปัจจุบันเป็นหนึ่งในแบรนด์ใหญ่ที่ครองตลาดสินค้าออกกำลังกาย
 

1895: Starting Poin

     จุดเริ่มของแบรนด์ Reebok เกิดขึ้นเมื่อปี 1895 โจเซฟในวัย 14 ปี ได้เริ่มต้นออกแบบรองเท้าวิ่งคู่แรกในห้องนอนตัวเอง โดยใช้ตะปูยึดติดเข้ากับด้านหน้าของรองเท้าผ้าใบ เพื่อเพิ่มความสามารถในการยึดเกาะเวลาวิ่ง จนต่อมาผลงานที่เขาออกแบบได้กลายเป็นโมเดลของรองเท้าสไตล์ Spiked Running Shoes ที่นักวิ่งใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และโจเซฟได้ก่อตั้งบริษัทผู้ผลิตรองเท้าในนาม J.W. Foster and Sons ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะบริษัทผู้ผลิตรองเท้าวิ่งอันโด่งดังจากเกาะอังกฤษ

reebok

Running Pumps

     รองเท้าวิ่งจากบริษัท J.W. Foster and Sons เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง และแพร่ขยายไปในวงกว้าง ในปี 1924 โดย ฮาโรลด์ อับราฮัมส์ นักวิ่ง 100 เมตรชาวอังกฤษ ได้สวมรองเท้ารุ่น Running Pumps ที่ผลิตและออกแบบโดยโจเซฟ และสามารถคว้าชัยชนะจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทำให้ชื่อของโจเซฟและผลิตภัณฑ์ของบริษัทเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
 

1958: Reebok

     จุดเด่นหนึ่งของแบรนด์นี้คือชื่อที่ติดหูและเตะตาเป็นอย่างมาก โดยที่มาของชื่อเกิดในปี 1958 เมื่อหลานชายของโจเซฟได้ตั้งชื่อแบรนด์ให้เขาว่า Reebok ซื่งเป็นภาษาแอฟริกัน แปลว่า ‘เนื้อทราย’ (สัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายกวาง) สะท้อนถึงความโฉบเฉี่ยวรวดเร็ว ซึ่งเป็นฟังก์ชันการใช้งานของรองเท้ากีฬาได้อย่างดี

reebok

1979: Paul Fireman

     แต่ถึงอย่างนั้นชื่อและผลิตภัณฑ์ของ Reebok ก็ยังคงเป็นที่นิยมอยู่ในเกาะอังกฤษ จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่ทำให้แบรนด์เริ่มกระจายไปทั่วโลกจริงๆ คือการกระโดดเข้ามาร่วมลงทุนของนักธุรกิจชาวอเมริกันอย่าง พอล ไฟร์แมน ในปี 1979 ที่นำแบรนด์ Reebok ไปเปิดตัวที่งานแสดงสินค้า ณ เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา จนในที่สุดในปีแรกที่วางขาย รองเท้าของ Reebok สร้างยอดขายไปกว่า 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อมาก็เริ่มแตกไลน์ออกไปสู่สินค้ากีฬา และสินค้าสตรีทแฟชั่นอีกมากมาย
 

Classic Leather

     หนึ่งในรองเท้ารุ่นยอดฮิตที่สุดคงหนีไม่พ้นรุ่น Reebok Classic Leather ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความเป็นสตรีท ผลิตจากหนังแท้คุณภาพดี เสริมความแข็งแรงด้วยผ้าไนลอน บวกกับดีไซน์รองเท้าที่โดดเด่นมากในยุคนั้น เพราะสามารถใส่ออกกำลังกายและเดินเล่นได้ในเวลาเดียวกัน ทำให้ Reebok Classic Leather ด้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ซึ่งแบรนด์ยังสามารถขายรองเท้ารุ่นนี้ได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งในแคมเปญ ‘Always Classic’ นี้ด้วย

reebok

2005: adidas

     อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเกิดในปี 2005 adidas หนึ่งในผู้นำด้านผลิตภัณฑ์กีฬาจากประเทศเยอรมนี ได้เข้ามาซื้อกิจการและควบรวม Reebok ไปด้วยมูลค่า 3,800 ล้านยูโร โดยหวังว่าส่วนแบ่งอุปกรณ์กีฬาของ Reebok จะสร้างกำไรให้มหาศาล และดูเหมือนจะไปได้ดีในช่วงแรก โดย adidas มียอดขายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า และ Reebok สามารถเข้าถือครองสัญญาในสโมสรบาสเกตบอลและเบสบอล ทำให้บริษัทมีชื่อเสียงอย่างมาก
 

Shifting Focus…

     แต่หลังจากนั้น Reebok ก็เจอกับมรสุมลุกใหญ่ คือปัญหาด้านยอดขายที่ตกลงเพราะไม่สามารถสู้แบรนด์รองเท้ากีฬายักษ์ใหญ่ที่มีอยู่ในตลาดเดิมได้ (รวมถึงสู้กับ adidas บริษัทแม่ไม่ได้ด้วย) ทำให้รายได้และส่วนแบ่งในตลาดหดเล็กลงเรื่อยๆ บวกกับช่วงเวลานั้นแบรนด์มีปัญหาความขัดแย้งกับสมาพันธ์ฟุตบอลของอเมริกา จนทำให้เม็ดเงินที่ลงทุนกับการเข้าไปสนับสนุนทีมเบสบอลและบาสเกตบอลแทบจะสูญเปล่า adidas ในฐานะบริษัทแม่จึงได้ปรับทิศทางของ Reebok จากรองเท้ากีฬา มาเป็นแบรนด์สินค้าและรองเท้าแนว Aerobic และเน้นเจาะกลุ่มคนเล่นฟิตเนสซึ่งยังมีช่องว่างในตลาดตอนนั้น และดำเนินตามแนวทางมาจนถึงวันนี้

reebok

2014: New Logo, New Identity…


     ในปี 2014 หลังการปรับทิศทางธุรกิจครั้งใหญ่ ก็ถึงคราวสำคัญของ Reebok ที่จะรีดีไซน์โลโก้ยุคใหม่ให้เข้ากับทิศทางของบริษัท โดยตัวโลโก้นั้นเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นเส้นตรง 2 เส้นขนานกันและมีเส้นตัดตรงกลาง มาเป็นการใช้เส้นตรง 3 เส้นสร้างเป็นสัญลักษณ์สามเหลี่ยมเดลต้า สื่อถึงร่างกาย จิตใจ และสังคม ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในการผลักดันให้ใครสักคนลุกขึ้นมาออกกำลังกายและก้าวข้ามขีดจำกัดตัวเองไปได้