ตกหล่น

วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ | สิ่งของอาจตกหล่นได้ และสักวันมันก็จะตกหล่น

1.

เวลาทำสิ่งของอะไรตกหล่นลงพื้น ผมจะก้มลงมองตามมันไปด้วยใจสงบๆ

ถ้าโชคดีที่มันเป็นอะไรที่ไม่แตกหักเสียหาย เช่น เป็นเหรียญห้าเหรียญสิบ เวลาทำตกหล่นไปก็แค่ก้มลงมองด้วยสายตาเปิดกว้าง เราจะเห็นเหรียญนั้นร่วงหล่นอย่างอิสระด้วยอัตราเร่งคงที่ ภายในตัวมันจะสะสมแรงกระทำไว้มากขึ้นๆ จะมีความเร็วเพิ่มขึ้นๆ ไปจนถึงจุดที่มองตามมันไม่ทัน

ถึงแม้ได้คลาดสายตาไปแล้ว แต่ถ้าพยายามเงี่ยหูฟังให้ดี จะได้ยินเสียงดังกรุ๊งกริ๊งในจังหวะที่มันตกกระแทกลงกับพื้นแล้วกระเด้งกระดอนสะท้อนขึ้นลงหลายรอบ ผมจะเฝ้าติดตามว่าเสียงไพเราะเสนาะโสตนั้นดังมาจากทิศทางใด พอหันมองตามไป ก็มักจะเห็นมันกำลังกลิ้งหลุนๆ หลบเข้าไปใต้โต๊ะหรือใต้เก้าอี้ ราวกับว่ามันพยายามหนีอย่างสุดชีวิตไปจากเรา ไม่อยากให้พบเจอมันได้อีก

ถ้ายังรักษาความใจเย็นนี้ไว้ได้ เปิดตาให้กว้างๆ ไว้ แล้วมองตามมันไปอีกสักอึดใจ ณ ปลายสายตาก็จะเห็นมันกลิ้งตีวงโค้งกลับออกมาอย่างขัดขืน ในตอนนี้ มันจะเชื่องช้าลงทีละน้อยๆ วงโค้งนี้จะแคบลงทีละนิดๆ แรงที่สะสมไว้ภายในค่อยๆ สลายไป

จนถึงเฮือกสุดท้ายของการดิ้นรน มันจะหมุนวนรอบตัวเอง แสงสว่างตกกระทบกับเนื้อโลหะแวววาวกลายเป็นประกายแสงระยิบระยับ แล้วมันก็ทอดกายลงอย่างอิดออดเชื่องช้า ขอบเหรียญเสียดสีกับพื้นกลายเป็นเสียงดังขวับๆ ก่อนที่จะนอนแน่นิ่งอย่างสงบอยู่กับพื้น

 

2.

     เรื่องน่าเศร้าสำหรับชีวิตเราก็คือ มันไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสามารถถูกเก็บกลับคืนมาได้เหมือนเดิม หลังจากที่มันตกหล่นไป

     ถ้าไม่ใช่เหรียญห้าเหรียญสิบ แต่เป็นถ้วยชามรามไห หรือสิ่งของมีค่ามีราคาอื่นๆ ข้าวของที่เรารักและหวงแหน ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้มันแตกหัก แต่ก็แน่นอนว่ามันแตกหักได้ และมันย่อมแตกหักสักวัน โดยไม่มีวันหวนกลับมาเหมือนเดิม

     เราทุกคนต่างก็คาดหวังให้ทุกสิ่งทุกอย่างคงที่ เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นกลับตรงกันข้าม ความเปลี่ยนแปลงนั้นคือความจริงแท้ มันคือความจริงสูงสุดหนึ่งเดียวที่จะมาประจันหน้ากับเรา และยื่นคำถามมาแบบทื่อๆ ว่าเราจะยอมรับความจริงนี้ได้ไหม?

     สิ่งของย่อมต้องตกลงพื้นเสมอ แรงโน้มถ่วงจึงไม่ใช่ปัญหา แต่คือข้อจำกัดร่วมกันตามความเป็นจริงของโลก ซึ่งเราทุกคนย่อมรู้อยู่แก่ใจ

     นอกจากนี้ สิ่งของอาจตกหล่นได้ และสักวันมันก็จะตกหล่น …มันเป็นเรื่องของความเป็นไปได้และความน่าจะเป็น
ถ้าคุณเคยได้ยินเรื่องกฎของเมอร์ฟี มันบอกว่าเรื่องอะไรที่สามารถเกิดขึ้น มันก็จะเกิดขึ้นภายใต้เวลาที่ยาวนานถึงระดับหนึ่ง อาจจะนับชั่วชีวิตของเรา มีเหตุการณ์มากมายดำเนินไป ความผิดพลาดและเรื่องเคราะห์หามยามร้ายใดๆ ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้น สักวันก็จะเกิดขึ้น

 

3.

     จากบทเรียนหลายครั้งหลายครา ผมพบว่าถ้าเราอยู่ในอารามตระหนกตกใจแล้วพยายามใช้มือไม้ปัดป่ายเพื่อไขว่คว้ายึดจับเอาไว้ อาจจะยิ่งทำให้มันกระเด็นกระดอนออกไปไกล และจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่าที่เป็นอยู่

     เหรียญตกแล้วกลิ้งวนกลับมา เราก้มลงแล้วหยิบมันขึ้นมา ถ้าเป็นสิ่งอื่นๆ เราก็สามารถทำได้แบบเดียวกันนี้ คือก้มลงมองด้วยใจสงบๆ ไม่ตื่นตระหนกตกใจไปกับเคราะห์หามยามร้ายที่อุบัติขึ้น

     ถ้าในเสี้ยวของเสี้ยววินาทีแรกนั้น ตอนที่มันยังมีแรงเฉื่อยอยู่ในตัว มันยังอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งก่อนจะโดนแรงโน้มถ่วงเข้ามากระทำ เรายังพอจะสามารถฉวยคว้าเอาไว้ได้ทัน ก็ให้รีบฉวยคว้าเอาไว้ นั่นถือเป็นวันที่ดี

     แต่ในเสี้ยววินาทีหลังจากนี้ไป เมื่อมันมีความเร็วเพิ่มพูนขึ้นและสะสมแรงไว้ภายในมากขึ้น จนถึงจุดเราทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็เปล่าประโยชน์ที่จะปัดป่ายมือไม้ออกไป จนทำให้อะไรๆ เลวร้ายลงไปมากกว่าเดิม นั่นคือวันที่เราจะได้รับบทเรียน

 

4.

     ผมเพิ่งแปลหนังสือเล่มหนึ่งเสร็จไป มันเกี่ยวกับชีวิตในเสี้ยววินาทีนับจากที่เราได้ทำบางสิ่งตกหล่นแตกหักไป เมื่อสิ่งของล้ำค่าหลุดมือ ตกหล่นลงสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิม มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ มีความเป็นไปได้อีกนับร้อยนับพันหลังจากนี้ไป

     เปรียบกับชีวิตของเราทุกคนที่ดำเนินมาอย่างราบรื่นจนถึงวันหนึ่ง วัยหนึ่ง ช่วงเวลาหนึ่ง ย่อมต้องพบกับปัญหา ความเจ็บปวด และความทุกข์ อันเกิดจากสถานการณ์เลวร้ายหรือคราวเคราะห์ใดๆ ก็ตาม ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนหรือสร้างความพลิกผันครั้งใหญ่

     เมื่อความจริงของโลกและความจริงแท้ของชีวิตได้มายืนประจันหน้ากับเรา และยื่นคำถามมาแบบทื่อๆ ว่าเราจะยอมรับมันได้ไหม?

     เหรียญกระเด้งกระดอนแล้วกลิ้งหลุนๆ ไปหลบอยู่ในหลืบใต้โต๊ะ หรือถ้วยชามที่เราหยิบออกมาจากเตาไมโครเวฟ ลื่นหลุดมือหล่นลงพื้นห้องครัว เศษกระเบื้องกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แกงเผ็ดเดือดปุดๆ สาดกระเซ็นไปทั่ว ลวกมือไม้และแข้งขาเราจนปวดแสบร้อน

     มันเกิดขึ้นได้ และแน่นอนว่ามันจะเกิดขึ้นสักวัน

 

5.

     มอง – คิด – ทำ คือสามขั้นตอนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานที่สุด มันจะช่วยให้เราเผชิญหน้ากับสิ่งของที่กำลังร่วงหล่นลงสู่พื้น

     มอง – คือก้มลงมองมันด้วยใจสงบ ถอยออกมาเป็นเหมือนผู้สังเกตการณ์ เปิดมุมมองให้กว้างออกไป เพื่อจะได้ประเมินสถานการณ์ในภาพกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้

     คิด – คือกอบเก็บชิ้นส่วนปรักหักพังขึ้นมาทีละชิ้นๆ นำมันขึ้นมาจากหลุมลึกของความโศกเศร้าเสียใจ ใคร่ครวญมันด้วยเหตุผลที่เหมาะควร เพื่อจะได้สกัดเอาบทเรียนชีวิตออกมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น

     ทำ – คือการนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาผสานกัน ประกอบขึ้นมาใหม่ให้สวยงามกว่าเดิม

     ไม่เหมือนกับเหรียญตกหรือถ้วยชามตก ชีวิตตกหล่นนั้นเก็บกลับคืนมาได้ยากกว่า เพราะชิ้นส่วนของมันจะกระจัดกระจาย แหลกสลายไปในทุกทิศทุกทาง ต้องใช้สติปัญญาและความอดทนยืนหยัดในการเก็บรวบรวมกลับมา 

     ถ้าแค่เหรียญห้าบาทสิบบาท เรายังเสียดายและเก็บขึ้นมา ถ้าแค่ถ้วยแกงตกหล่นแตกกระจายเลอะเทอะ เรายังเก็บกวาดเช็ดถูห้องครัวให้สะอาดอีกครั้ง

     ชีวิตเรานั้นนับว่ามีค่าและมีความหมายกว่านั้นมาก ทั้งชีวิตคือผลรวมของบทเรียนจากความผิดพลาด บาดแผล และริ้วรอย ที่จะอยู่กับเราต่อไปจนลมหายใจสุดท้าย ช่างน่าเสียดายหากปล่อยทิ้งขว้างชีวิตให้มันกระจัดกระจายอยู่บนพื้น