dreamland

วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ | แดนฝันในวันวานแห่งวัยเยาว์และชีวิตของการเป็นเด็กเล่นคนเดียว

ในสมุดพกของผมสมัยอนุบาล คุณครูเขียนไว้ว่า ‘ชอบเล่นคนเดียว’

มันคือสมุดเล่มเล็กๆ บางๆ ใช้บันทึกผลการเรียนและความประพฤติที่โรงเรียน พอถึงสิ้นเดือนครูจะกรอกรายงานใส่ช่องว่างในสมุดพก ให้เอากลับมาที่้บ้านเพื่อให้แม่เซ็นรับทราบ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไร แต่พอนึกย้อนกลับไปก็รู้สึกขำกับความไร้เดียงสา ตอนเด็กๆ นี่แค่อยู่กับตัวเองคนเดียวก็เล่นสนุกได้แล้วเหรอ

     อาจเป็นเพราะผมอายุห่างจากพี่คนอื่นหลายปี และที่บ้านเราไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร ไม่มีเงินซื้อของเล่นให้ลูกเยอะแยะ ตอนปิดเทอมก็ไม่มีเงินพาเราท่องเที่ยวไกลๆ หรือไปเข้าซัมเมอร์คอร์สที่ไหน พ่อแม่ก็ทำงานค้าขายไปทั้งตลอดวัน แค่หาเงินได้พอจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกทุกคนก็ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาแล้ว

     ในวัยนั้น วันนั้น จริงๆ แล้วมันก็ไม่เชิงเป็นการเล่นคนเดียวหรอก แต่เป็นการเล่นอยู่ในจินตนาการของตัวเอง เด็กๆ ที่ชอบเล่นคนเดียวส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะพวกเขาขี้อาย ไม่กล้าเข้าสังคม ผู้ใหญ่อาจจะมองว่ามีปัญหาในเรื่องพัฒนาการ ซึ่งจะส่งระยะยาวถึงตอนโตเลยก็ได้ แต่ในอีกส่วนหนึ่ง เชื่อผมเถอะ ว่าเด็กๆ ที่เล่นคนเดียว พวกเขามีแดนฝันในหัวที่กว้างใหญ่มากๆ มันสลักสำคัญและเป็นจริงเป็นจังเสียยิ่งกว่าโลกแห่งความจริงที่อยู่ตรงหน้า

     บางทีแค่เห็นกิ่งไม้ตกอยู่บนสนามเด็กเล่น ผมก็หยิบมาเป็นกระบี่ปราบมารในหนังกำลังภายใน ร่ายรำกวัดแกว่งไปคนเดียวแบบนั้น หรือบางทีอาจจะไม่มีวัตถุสสารอะไรเลย แต่ตลอดพักเที่ยงผมก็นึกจินตนาการไปถึงเกราะเหล็กไหลของยอดมนุษย์ ที่พอกดปุ่มตรงหัวเข็มขัดแล้วมันก็แปลงร่างกลายเป็นจรวดหรือเครื่องบินสุดไฮเทค แล้วก็นั่งยิ้มกริ่มอยู่คนเดียวแบบนั้น

     นึกย้อนไปแล้วก็พบว่าการเล่นคนเดียวในตอนนั้นทำให้เกิดเสียงในหัวเยอะมาก มันเป็นบทสนทนาโต้ตอบกับตัวเองในจินตนาการ เหมือนเป็นวอยซ์โอเวอร์บรรยายสภาพการณ์ในแดนฝันที่อยู่ในหัว ยิ่งเล่นคนเดียวไปนานเท่าไหร่ แดนฝันก็ยิ่งขยายใหญ่ขึ้นๆ บางครั้งมันท่วมท้นล้นออกมาสู่โลกแห่งความจริง ตอนที่เล็งปืนเลเซอร์ตรงข้อมือไปใส่สัตว์ประหลาด ผมลืมตัวรีบกระโจนไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ และพลั้งปากส่งเสียงเปี้ยวป้าวออกมาจริงๆ

     ทุกวันนี้ แค่เอาเรื่องในหัวสมัยตอนเป็นเด็กมาเล่าให้ฟัง ผมก็ยังรู้สึกเขินๆ แทบจำไม่ได้เลยว่าเลิกเล่นคนเดียวแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้แค่ว่าพออยู่ชั้นประถม มัธยม คุณครูก็ไม่เคยเขียนรายงานในสมุดพกว่าชอบเล่นคนเดียวอีกเลย ส่วนใหญ่จะเขียนว่า ‘ความประพฤติเรียบร้อย’ รวบรัดเพียงสั้นๆ แค่นั้น โลกรอบตัวเราเข้ามาจัดการกับความจริงในชีวิตของเราแบบนี้เอง

ความจริงสถาปนาขึ้นมาจากวัตถุสสารที่สถิตแน่นิ่งอยู่ภายนอกตัว และมันจะจริงตราบเท่าที่คนอื่นๆ ก็สามารถประจักษ์รับรู้ได้ตรงกับเราเท่านั้น

     ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรานั่งอยู่ในห้องประชุมด้วยกัน เรารับรู้ตรงกันว่าห้องนี้ทาสีขาว มีขนาดกว้างคูณยาวเท่าไหร่ สภาพอากาศหนาวร้อนกี่องศา พวกเรามีกันอยู่กี่คน กำลังพูดคุยกันเรื่องอะไร และตอบโต้กันด้วยความเป็นเหตุเป็นผล อะไรที่อยู่นอกเหนือจากนั้นล้วนไม่จริง โลกภายนอกจัดระเบียบความคิดของเราให้เต็มไปด้วยข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์และการใช้เหตุผล จนเรารู้สึกว่ามันดูงี่เง่ามากถ้าจะเล่าบอกใครๆ ว่าแดนฝันของเรานั้นเป็นอย่างไร แค่เล่าเรื่องตอนเด็กๆ ชอบเล่นคนเดียวยังรู้สึกว่าน่าอาย

     สำหรับบางคน แดนฝันนั้นล่มสลายเมื่อเขาเติบโตขึ้น

     สำหรับบางคน อาจจะแอบเก็บมันเอาไว้อย่างลับๆ ภายในใจ ภายในบางแง่มุมของชีวิต

     สำหรับผม ผมเก็บมันไว้ในการเขียนหนังสือ…

     มันเป็นเพียงพื้นที่เดียว พื้นที่สุดท้ายที่เสียงในหัวนั้นสามารถกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง เป็นบทสนทนาโต้ตอบกับตัวเองในจินตนาการ เหมือนเป็นวอยซ์โอเวอร์บรรยายสภาพการณ์ในแดนฝันที่อยู่ในหัว โดยที่ไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของจอมยุทธ์หรือยอดมนุษย์แบบชัดเจนเหมือนตอนเป็นเด็ก แต่มันจะมีความเป็นนามธรรมมากกว่านั้น

     งานเขียนแต่ละชิ้นๆ มักจะมีรูปแบบคงที่ มันเป็นโครงเรื่องของการออกเดินทาง แสวงหา ต่อสู้ และ ณ ปลายทางคือการกอบกู้ตัวตนกลับคืนมา เขียนกี่ชิ้นๆ ก็วนอยู่แบบนั้น เพียงแต่เปลี่ยนรายละเอียดเรื่องราวที่เป็นเปลือกหุ้มภายนอกไปเรื่อยๆ แต่ภายในนั้นคือสิ่งเดิม

     บางทีเอาหนังสือเล่มเก่าๆ ของตัวเองมาเปิดอ่านอีกครั้ง ก็ยังนึกสงสัยอยู่ในใจ ว่าเขียนมันออกมาได้อย่างไร ตัวเราเป็นคนเขียนเรื่องราวเหล่านี้ไว้เหรอ เหมือนกับมันถูกคนอื่นเขียนไว้ เพียงแต่เป็นเรื่องราวที่ตรงกับใจเราเท่านั้น ถ้าต้นฉบับเหล่านั้นถ้าหายไปและต้องให้เขียนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เราก็จะไม่มีวันเขียนได้อีก หรือถึงแม้จะพยายามแค่ไหน ก็ไม่มีวันเขียนได้เหมือนเดิมแบบนั้น

     เพราะตัวหนังสือเหล่านั้นออกมาจากแดนฝัน

     ไม่เหมือนกับตอนเด็กๆ ที่เราชอบเล่นคนเดียว แดนฝันนั้นเป็นการละเล่นประจำวัน มันช่างชัดเจนเหลือเกิน เรานั่งยิ้มกริ่มอยู่แบบนั้นได้เป็นชั่วโมงๆ ตอนพักเที่ยง แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แดนฝันจะเลือนราง ผลุบๆ โผล่ๆ วูบไหวเหมือนดาวตกที่พาดผ่านขอบฟ้า กลายเป็นแค่ความรู้สึกบางอย่างที่ท่วมท้น งดงาม เหมือนการปิ๊งแวบเพียงแค่แวบเดียวขึ้นมาแล้วก็สูญหายไปในทันที

     มีแค่บางครั้งเท่านั้นที่ผมใช้หน้ากระดาษดักจับมันไว้ได้ และเมื่อมันถูกอ่านโดยคนอื่น ส่วนใหญ่พวกเขาจะบอกว่าใช่ๆ มันตรงใจกับที่พวกเขารู้สึก เพราะลึกๆ แล้วพวกเราต่างก็กำลังอยู่ในแดนฝันเดียวกัน โดยที่ไม่รู้ตัว ไม่ตระหนักถึง มันเป็นโลกอีกโลกที่ไม่ได้ใช้การประจักษ์และเหตุผล เป็นความจริงอีกชั้นที่ซ้อนทับอยู่ในชีวิตของเราทุกคน

     มีเพียงแค่ในเวลาที่เราต่างคนต่างอยู่คนเดียว และเล่นคนเดียว จึงจะเข้าถึงมันได้