ไม่มีมา ไม่มีจากไป ไม่ย้อนกลับ ไม่คิดไกล…
ช่วงท้ายในกิจกรรมภาวนาของหมู่บ้านพลัม กลุ่มนักบวชพาเราเดินสมาธิวนเวียนอยู่พักใหญ่ จนเสร็จรอบสุดท้ายแล้วก็มายืนล้อมวง เพื่อร้องเพลงด้วยกันเป็นการส่งท้าย เป็นเพลงที่มีความหมายคล้ายๆ การบอกลากันและกัน
เย็นย่ำเต็มทีและผมกำลังจะกลับบ้านไปพร้อมกับความหิวโซ หลังจากวันนี้ทั้งวันที่มาอยู่ร่วมงานได้กินแต่อาหารเจเบาท้องไปแค่มื้อเดียวตอนก่อนเที่ยง ซึ่งที่นี่เรียกมันว่าการกินอาหารในวิถีแห่งสติ คือสอนให้กินช้าๆ เคี้ยวไปนับไป พร้อมกับการตระหนักรู้ตลอดเวลา
นอกนั้น ในช่วงเช้าก็มีการนั่งสมาธิ ช่วงบ่ายมีการฝึกนอนผ่อนคลายอย่างลึกซึ้ง และการสนทนาธรรมกลุ่มย่อย มีกิจกรรมที่ผมชอบมากๆ คือการร้องเพลงร่วมกันที่คอยสอดแทรกอยู่ในแต่ละช่วง ซึ่งเรียกว่าการภาวนาด้วยบทเพลง
นักบวชหนุ่มน้อยคนหนึ่งเล่นกีตาร์คอร์ดง่ายๆ นักบวชคนอื่นช่วยกันนำร้องเพลงและแสดงท่าทางประกอบเพลง เหมือนวิชาสันทนาการสมัยเราเรียนอนุบาลหรือประถม ตอนแรกๆ ก็รู้สึกอึดอัดขัดเขินอย่างมาก แต่พอกิจกรรมต่างๆ ดำเนินต่อเนื่องไป ภูเขาน้ำแข็งภายในใจก็ค่อยๆ ละลายลง
…จะโอบเธอไว้เคียงกาย หรือปล่อยเธอ ให้เธอสบาย เพราะใจฉันมีเธอ และเธอก็มีฉัน…
ยิ่งเมื่อเนื้อร้องใช้ถ้อยคำยอกย้อนไปมา เหมือนกับพวกคำคมแบบเซนที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ ที่เขาชอบนำสภาวะคู่ตรงข้ามมาวางเคียงกัน อย่างเช่นเธอกับฉัน ความจริงและความลวง ใกล้หรือไกล อดีตหรืออนาคต ฯลฯ เมื่อพิจารณาตามไปทีละคำ ทีละคู่ ก็ทำให้เส้นแบ่งความแตกต่างนั้นพร่าเลือนไป
ผมขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง เปิดแอร์เย็นฉ่ำสาดใบหน้า พลันเนื้อเพลงและทำนองที่ได้ฟังมาตลอดวันก็กลับมาวนเวียนเข้ามาอยู่ในใจ เพลงพ็อพส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ ที่ใช้เนื้อร้องง่ายๆ ทำนองวนๆ ผลลัพธ์ก็คือมันติดหูเราชะมัดยาด
ความสงบที่ได้พบประสบเจอมาตลอดทั้งวัน ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงเมื่อขับออกจากหน้าประตูสถานปฏิบัติธรรม ทุกอย่างรอบตัวที่เราเห็นว่ามันสับสนวุ่นวาย สารพัดสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจ ใจเราอยากออกไปให้พ้นจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
ผมนึกถึงนักบวชหนุ่มชาวเวียดนามที่สามารถพูดภาษาไทยได้ชัดเจน เมื่อตอนบ่ายเขาสอนการเดินสมาธิ เขาบอกว่าเราสามารถฝึกความมีสติได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนเราเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า หรือเดินไปทำงาน ขอให้พิจารณาที่การเดินตรงหน้าแต่ละก้าว
คนเราส่วนใหญ่เวลาเดินไม่ได้มีจิตจดจ่อกับการเดิน แต่ใจเราจะคิดไปเรื่องอื่นร้อยแปดพันเก้า มองดูข้างทางหรือไม่ก็วาดภาพไปถึงจุดหมายปลายทาง เราเดินไปโดยอัตโนมัติและหลงลืม ใจเราไม่ได้อยู่กับเท้าและลมหายใจ เปรียบเหมือนกับการใช้ชีวิต ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ทำให้ใจเราสับสนวุ่นวายกับเรื่องรอบตัว เรื่องอดีต เรื่องอนาคต
เขาสอนให้เดินไปพร้อมกับลมหายใจเข้าและออก ภาวนาในใจว่า ถึงแล้ว, ถึงบ้านแล้ว หรือ I have arrived, I am home หมายความว่าจุดหมายปลายทางนั้นไม่ได้อยู่ภายนอกที่ไกลออกไป แต่แท้จริงอยู่ตรงหน้าเรา อยู่ในทุกย่างก้าว และการมีสติในปัจจุบันขณะคือบ้านที่แท้จริง
…เพราะใจฉันมีเธอ และเราดั่งกันและกัน
ผมชอบคำว่า ‘บ้าน’ เมื่อได้ยินคำภาวนาว่า ถึงแล้ว, ถึงบ้านแล้ว ก็เกิดความรู้สึกสั่นสะเทือนภายในอย่างล้ำลึก นึกย้อนกลับไปทบทวนตัวเอง ว่าเรื่องราวที่เราชอบถ่ายทอดออกมาให้คนอื่นได้ฟังหรือได้อ่าน พบว่าจริงๆ แล้วเหล่านั้นมันบอกเล่าอยู่เพียงไม่กี่เรื่องหรอก
มีเรื่องที่เขียนถึงบ่อยที่สุดคือบ้าน เพียงแต่มันไม่ได้ปรากฏเป็นรูปธรรมของสถานที่หรือตัวละคร มันแอบแฝงอยู่เป็นบรรยากาศ ปกคลุมอยู่ในทุกประโยค ทุกย่อหน้า บ้านคือความรู้สึกโหยหาความสงบสุขบางอย่าง และหยุดนิ่งในบางขณะ บางสถานที่
บางทีความจริงแท้ของโลกและชีวิตเรา อาจจะเรียบง่ายแค่นี้เอง คือการกลับบ้านที่แท้จริง ซึ่งอาจจะไม่ใช่การเดินทางไกลไปไหน แต่คือความรู้สึกภายในอย่างเป็นนามธรรม
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดี ผมเปิดสปีกเกอร์โฟน ภรรยาโทร.มาถามว่างานภาวนาเลิกหรือยัง จะกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านหรือเปล่า ผมตอบไปว่ากำลังจะรีบกลับ
แต่บนทางด่วน ถึงแม้จะเป็นตอนเย็นวันเสาร์ พอจ่ายเงินเสร็จ ได้เลื่อนรถเข้าไปนิดเดียว ด่านจ่ายเงินยังไม่ทันลับหายไปจากกระจกมองหลัง เบื้องหน้าตรงไปก็เห็นเป็นทะเลไฟท้ายสีแดงฉาน หันไปมองถนนฝั่งตรงข้ามก็เห็นเป็นทะเลไฟหน้าสีเหลืองอร่าม
เลนข้างๆ ค่อยๆ ขยับเคลื่อนที่ไปได้นิดหนึ่ง ทำไมเลนอื่นไปได้เร็วกว่าเลนเราเสมอ? ผมชะโงกมองออกไปไกลๆ ด้วยความเสียดายและเสียใจที่ตัดสินใจเข้ามาอยู่ในเลนนี้ มันคงดีกว่าถ้าจะได้เบียดแทรกเข้าไปอยู่เลนข้างๆ
เปิดไฟเลี้ยวขอทาง และหักพวงมาลัยยื่นหน้ารถแหย่ออกไป แต่รถเลนข้างๆ รีบเหยียบคันเร่งตะบึงขึ้นมาปิดทางไว้ ผมเหยียบเบรกตัวโก่ง
แม่งเอ๊ย! เสียงสบถดังลั่นรถ ดีที่ไม่มีใครนั่งมาด้วย ระยะหลังมานี้ยิ่งปล่อยใจล่องลอยออกไปไกลมากขึ้น ผมก็ยิ่งใจร้ายและไร้สุขมากขึ้น แล้วจู่ๆ ก็เกิดวินาทีที่ได้ตามทันความคิดตัวเอง ผมนึกถึงคำภาวนาตอนเดินสมาธิของนักบวชชาวเวียดนามคนนั้น
บนฟ้าเห็นแสงแดดสุดท้ายของวันเป็นสีเหลืองทอง ส่องลอดผ่านช่องว่างของก้อนเมฆหมอกฝุ่นควันของเมืองใหญ่
ถึงแล้ว, ถึงบ้านแล้ว ผมนึกในใจ