“เวลาพาแม่มาโรงพยาบาล เอ็งรู้สึกหดหู่ไหม” แม่เอ่ยถาม ตอนที่ผมขับรถพาเขากลับบ้าน หลังจากที่เขาบ่นปวดหลังและสะโพกมาหลายวัน ผมบอกให้ลองกินยาแก้ปวดแล้วนอนพักเยอะๆ เผื่อว่าไม่ได้เป็นอะไรมากและหายได้เองเหมือนที่ผ่านๆ มา แต่คราวนี้เขาอยากให้ช่วยพาไปหาหมอ เพราะใกล้จะวันสารทจีนแล้ว ถ้ายังปวดอยู่แบบนี้ เขาจะออกไปซื้อของไหว้เจ้าไม่ไหว
ผมตื่นแต่เช้าตรู่ พาแม่ฝ่าการจราจรแถวแยกแคราย มุ่งหน้าไปศูนย์สิรินธรฯ เพราะคิดว่าที่นี่น่าจะมีหมอที่เชี่ยวชาญตรงกับความเจ็บป่วยของเขาที่สุด และตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเรานัก เรานั่งมาราธอนกันตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยง กว่าจะถึงคิวได้เข้าพบหมอ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาของโรงพยาบาลของรัฐ หมอตรวจร่างกายแม่อย่างเบามือ ส่งไปทำเอกซเรย์ แล้วก็สั่งให้มาทำกายภาพบำบัดที่นี่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ตลอดหลายเดือนหลังจากนั้น เราต้องมาที่นี่อย่างน้อยอาทิตย์ละสองวัน เพื่อทำกายภาพบำบัด และนำความคืบหน้าในการรักษา กลับไปพบหมออีกครั้ง
ชื่อเต็มๆ ของที่นี่คือ ศูนย์สิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ จึงไม่น่าแปลกใจที่รอบๆ ตัวเราจะรายล้อมไปด้วยคนที่สูญเสียสมรรถภาพทางร่างกายไปแล้ว บางคนต้องถือไม้เท้าหรือมีอุปกรณ์พิเศษช่วยค้ำยันร่างกาย บางคนหนักหน่อยก็ต้องนั่งเก้าอี้รถเข็น และที่หนักที่สุดคือคนที่ต้องนอนอยู่บนเตียงเข็น มีญาติเข็นเตียงคนป่วยผ่านหน้าเราไป บนเตียงเป็นชายชราที่นอนแน่นิ่งเหมือนกับผัก ด้านบนมีสายน้ำเกลือ ด้านล่างมีสายสวนปัสสาวะ ภาพที่เห็นนั้นทำให้ผมนิ่งงัน ผมรู้ว่าแม่กำลังแอบมองผมอยู่ และนี่คือสาเหตุที่แม่เอ่ยถามคำถามนั้นตอนที่เรากำลังกลับบ้าน
“ข้าเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกนานาจิตตัง” แม่บอก ซึ่งจริงๆ แล้วเขาคงหมายถึงคำว่า ‘ปลงอนิจจัง’ แม่ไม่ได้เรียนสูงนัก พวกคำศัพท์หรือสำนวนยากๆ ส่วนใหญ่ก็ลักจำมาจากในทีวี บางทีจึงใช้อย่างสับสนเลอะเลือน
“คราวหน้าผมจะพาพี่ไปงานวิ่งขึ้นตึกใบหยก” ‘บุ๊ย’ – มนตรี บุญสัตย์ บอกกับผม ตอนที่เรากำลังล่ำลาแยกย้ายกันกลับบ้าน หลังจากที่เพิ่งไปร่วมงานวิ่ง HUMAN RUN 2015 ด้วยกันมา ผมมองตามหลังเขาเดินเข้าซอยหมู่บ้านไป ภาพที่เห็นคือคนหนุ่มร่างกายแข็งแรงที่เพิ่งวิ่งระยะมินิมาราธอน 10 กิโลเมตร มาแบบชิลๆ ในขณะที่ผมลงวิ่งแค่ Fun Run ระยะทาง 5 กิโลเมตร ที่ส่วนใหญ่เป็นการเดินทอดน่องดูบรรยากาศและผู้คนมากกว่า
ในวันอาทิตย์ ตามปกติผมจะนอนตื่นสายเป็นพิเศษ แต่วันนี้เรานัดกันออกจากบ้านตั้งแต่ตีสาม เพื่อจะได้ไปร่วมงานวิ่งมาราธอน ท่ามกลางคนหนุ่มสาวอีกนับพันนับหมื่น พวกเรามีความกระตือรือร้น มีกำลังวังชา ร่างกายเต็มไปสินค้าประดับประดาโลโก้ ไนกี้ อะดิดาส การ์มิน ซุนโต หูฟังบลูทูธ สมาร์ตโฟน ฯลฯ การเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กันมันช่วยทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวา และสามารถวิ่งไล่ตามวัยเยาว์ไปอย่างลืมเหน็ดเหนื่อย
พร้อมกับความรู้สึกจุกเสียดภายในอก ความเจ็บแปลบที่หัวเข่าและกลางฝ่าเท้า ผมกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อมกับความคิดฟุ้งซ่านที่วนเวียนอยู่ภายในหัว ผมคิดว่าการเคลื่อนไหวนั้นเกี่ยวพันอย่างลึกซึ้งกับการมีชีวิตอยู่ การรู้คิดนั้นไม่เพียงพอที่จะยืนยันการมีชีวิต เราต้องการเคลื่อนไหวได้ด้วย จึงจะหมายถึงการมีชีวิตจริงๆ เพราะเจตจำนงส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะบรรลุได้ด้วยการเคลื่อนไหวไปลงมือกระทำด้วยตัวเอง
การที่จะต้องไปจ่ายตลาดซื้อของไหว้เจ้าให้ได้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ แต่สำหรับแม่ที่เคลื่อนไหวแทบไม่ได้แล้ว มันหมายถึงการดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ การได้เลือกซื้อ ได้จับจ่าย หมูเห็ดเป็ดไก่ ผลไม้ ขนมเข่งขนมเทียน คือการได้เป็นส่วนหนึ่งในสังคมเมืองใหญ่ ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม ได้มีส่วนร่วมอยู่ในเทศกาลใหญ่ที่มีผู้คนอีกมากมายมาอยู่รวมกัน กิจกรรมทั้งหมดนั้นจะทำได้ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายออกนอกบ้าน
แม่บอกว่าหมอที่โรงพยาบาลนี้ยิ้มแย้มแจ่มใสดี แม่อยากจะหายเร็วๆ ขอนัดไปทำกายภาพทุกวันเลยได้ไหม ผมบอกว่าไม่ได้ เราไปแค่เท่าที่หมอสั่งก็พอ หมอเขาจะได้ไปรักษาคนอื่นที่อาการหนักกว่าเรา ตอนที่เห็นหมอกายภาพบำบัดใช้เครื่องยิงคลื่นอัลตราซาวนด์เข้าไปที่กล้ามเนื้อหลังและสะโพกของแม่ ผมคิดว่ามันเหมือนกับเขากำลังคืนชีวิตให้กับแม่ ด้วยการคืนการเคลื่อนไหวให้อีกครั้ง
พรอันประเสริฐที่สุดที่เราจะมอบให้แก่กันตอนแซยิด ในวันเกิดปีที่ 60 คือการที่เราต่างคนต่างเดินไปเข้าห้องน้ำได้เอง และล้างก้นของตัวเองได้ และขอให้การรู้คิดและความสามารถในการเคลื่อนไหวนั้นสิ้นสุดลงไปพร้อมๆ กัน
ถ้าในหัวสมองยังรู้คิด แต่เราเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ร่างกายก็ไม่ต่างอะไรไปจากกรงขัง เลือด น้ำเหลือง มูตร คูถ ท่วมถมอยู่ในถุงของผิวหนัง รอวันเหี่ยวเฉาและเน่าเปื่อยไป ในวันที่เรายังเคลื่อนไหวร่างกายได้จึงมีชีวิตและมีความเป็นมนุษย์เต็มเปี่ยม แต่เมื่อถึงวันที่เรานอนนิ่งไม่ต่างจากผัก เราจะยังนับว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกไหม
“วันนี้เราต้องพาแม่ไปโรงพยาบาลหรือเปล่า” ภรรยาเอ่ยถาม ตอนที่ผมกำลังปิดประตูรั้วบ้าน ผมบอกเธอว่าเรานัดหมอไว้ในวันธรรมดาและในเวลาราชการ เพื่อจะได้ประหยัดการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล สำหรับสังคมร่วมสมัย วันหยุดสุดสัปดาห์ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองความหนุ่มสาวและความสนุกสนาน เราอยากใช้จ่ายวันหยุดไปกับกิจกรรมที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเท่านั้น
“คิดไว้หรือยังว่าถ้าถึงวันที่แม่ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้แล้ว เราจะทำอย่างไร” เธอถามผม
ผมก้มลงถอดรองเท้าวิ่งอย่างทะนุถนอม มันเป็นรองเท้ารุ่นใหม่ล่าสุด แบบมินิมอลิสต์ ซีโรดรอป น้ำหนักเบา พร้อมเทคโนโลยีเจลและโฟมอะไรไม่รู้สารพัด ผมเพิ่งซื้อมาสำหรับงานวิ่งในวันนี้ ราคามันแพงพอๆ กับค่าทำกายภาพบำบัดให้แม่รวมกัน 10 ครั้ง
ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร และกลัวที่จะคิดถึงเรื่องนี้ในเวลานี้
*บทความจากเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อปี ค.ศ. 2015