พอเข้าสู่ช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ได้เห็นพรรคการเมืองต่างๆ จัดทีมออกมาปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์และร่วมดีเบตตามเวทีต่างๆ ผมคอยติดตามดูข่าวสารด้วยความเมามัน แต่ผ่านไปสักพักก็เริ่มนึกสงสารและเห็นใจพวกนักการเมืองที่เป็นคนแก่ เพราะเห็นได้ชัดว่าพวกเขาพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ทัศนคติหลงยุคและหลุดโลก โต้ประเด็นอะไรไม่ได้ บางทีก็แสดงอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียว มีบางคนถึงขนาดปฏิเสธไม่มาร่วมงาน
ถ้าคุณเคยเห็นภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองของคนแก่ก็จะเข้าใจ ยิ่งถ้าเอาผลเอกซเรย์แต่ละปีๆ มาดูเทียบกันก็จะยิ่งเห็นชัดว่า โพรงสมองของเขาขยายกว้างและถูกแทนที่ด้วยน้ำไขสันหลัง สมองฝ่อลง และบนเนื้อสมองก็เริ่มเห็นจุดสีเทาที่แสดงว่ามีเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ
ความสามารถในการรู้คิดนั้นขึ้นอยู่กับอายุและสมรรถนะของสมอง เมื่ออายุมากขึ้นและสมองเริ่มเสื่อมลง แม้จะยังสามารถเดินเหินได้ปกติ และดูภายนอกแข็งแรงเหมือนหนุ่มๆ แต่ตรรกะและระบบคิดภายในหัวนั้นล่มสลายไปแล้ว มีแต่ความคิดวนลูปอยู่ที่เดิมและตอกย้ำอคติเดิมๆ ให้ตัวเองรู้สึกสบายใจอยู่คนเดียว คนรุ่นลูกหลานที่อยู่ร่วมบ้านด้วยกัน มักจะรู้สึกรำคาญที่พ่อแม่ทำไมดูโง่งม เชื่องช้า พูดจาอะไรไม่เข้าท่าเข้าทาง
โดยส่วนใหญ่เราจะบอกให้เขาปล่อยวางชีวิต ไปหาความสุขความสงบ แทนที่จะยึดกุมอำนาจในมือและคอยกะเกณฑ์ชี้ถูกชี้ผิดให้กับคนรุ่นหลัง เราคงไม่ไปคาดหวังอะไรกับคนแก่ ว่าจะให้เขามาพูดคุยหรือแสดงความคิดเห็นอะไรคมคาย ยิ่งไม่ต้องไปหวังให้พวกเขามาบริหารประเทศที่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเยอะกว่ามากและต้องคำนึงถึงอุดมคติอะไรที่ดีงาม
แต่ทุกวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นกลับหัวกลับหางกันไปหมด คนแก่กุมอำนาจ และมีช่องทางให้ออกมาแสดงความเห็นผิดๆ พลาดๆ ทุกวัน เปิดให้คนรุ่นลูกหลานหัวเราะเยาะและดูถูกดูแคลน ดังนั้น ในที่สุดก็มาจบลงที่การปะทะกันของเจเนอเรชันที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ระหว่างคนแก่ที่ต้องการหยุดนิ่งและคนหนุ่มสาวที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง
การเลือกตั้งครั้งนี้เราแทบจะไม่ได้สนใจเรื่องนโยบายหรือวิสัยทัศน์ของแต่ละพรรค ทุกพรรคก็พูดถึงเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ การจราจร สวัสดิการ ฯลฯ ฟังดูเหมือนๆ กัน แทบไม่มีความแตกต่าง แต่เรามุ่งสนใจที่การรู้คิดและกระบวนการคิดของผู้สมัครจากแต่ละพรรค อย่างน้อยที่สุด มันคือจุดเริ่มต้นของการทำงานบริหารประเทศอย่างเข้ารูปเข้ารอย ไม่วนเวียนกลับไปเป็นเผด็จการทหารเหมือนเดิม
หลายปีที่ผ่านมา คนหนุ่มสาวเรียกสังคมของเราว่ากะลาแลนด์ แต่ในสายตาของคนแก่ๆ กะลาแลนด์นั่นคือความหลังอันแสนหวานของพวกเขา สุดท้ายเขาจะจมจ่อมอยู่ข้างในนั้น นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่อบอวลไปด้วยกลิ่นยาหม่อง กลิ่นอึกลิ่นฉี่เรี่ยราดของตัวเอง มีทีวีจอสามสิบสองนิ้วเก่าๆ ที่เราซื้อให้ตั้งแต่เมื่อสี่ห้าปีก่อน มีแผ่นดีวีดีหนังเก่าไม่กี่เรื่อง และแผ่นซีดีเพลงแผ่นสุดท้ายในชีวิต ซึ่งอาจจะเป็นรวมฮิตของเติ้งลี่จวิน หรือเพลงอะไรแนวๆ นั้นที่จะเปิดวนเวียนไป
พวกเขาเพลิดเพลินกับภาพความหลังในหัว วันคืนเก่าๆ ที่พวกเขาเคยมีความสุข มีความสำเร็จ วันที่เขาแต่งงาน วันที่เขาเคยจูงเราไปเข้าโรงเรียน วันที่เขากอดคอเราถ่ายรูปรับปริญญา ฯลฯ มาในวันนี้ พวกเขาจะงงและไม่เข้าใจว่าทำไมเราเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม พวกเขาไม่ทันคิดเลยด้วยซ้ำว่า การบังคับให้ทุกคนมานั่งดูหนังเก่าและฟังเพลงเติ้งลี่จวินพร้อมหน้าพร้อมตากันในห้องนั้นทุกคืนวันศุกร์ มันเป็นเรื่องน่าขำและน่าเศร้าไปพร้อมกัน
พวกเราเบื่อ อึดอัด และรำคาญ ที่สุดแล้วสิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือทนนั่งไป ควักมือถือขึ้นมาแชตไลน์หรือเล่นเฟซบุ๊กไปพลางๆ หรือไม่ก็เปิดดูหนังในเน็ตฟลิกซ์ เปิดเพลงในสปอติฟาย แล้วก็เสียบหูฟังไว้ ปล่อยเขามีความสุขของเขาไป จนถึงวันที่เราเลือกเส้นทางชีวิตของเราเองได้ เราก็จะเดินออกจากบ้านไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก
พัฒนาการในชีวิตคนเราก็เป็นไปตามวัย ตัวตนของเราก่อสร้างขึ้นมาจากคุณสมบัติด้านต่างๆ เช่น Openness หรือความเปิดกว้าง Conscientiousness การควบคุมตัวเอง Extraversion การเข้าสังคม Agreeable ความรัก ความเมตตา และ Neuroticism สัมผัสรับรู้
โดยทั่วไป ตัวตนของเราจะไม่เปลี่ยนไปอีกแล้วหลังจากอายุ 20-30 ปี หลายคนจึงพูดกันว่าเราจะไม่ฟังเพลงใหม่หลังจากพ้นอายุสามสิบไปแล้ว พอเข้าวัยสี่สิบหรือห้าสิบ เราก็อยากจะนอนอยู่บ้านพักผ่อนมากกว่าจะออกเดินทางเผชิญโลก ในวัยหกสิบเจ็ดสิบก็เข้าวัดเข้าวา เตรียมลาโลกไป สิ่งสำคัญคือเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสักวัน เมื่อวันเวลาของเรามาถึง ตอนที่เราอายุห้าสิบหกสิบ เราจะยังคงพูดจาอะไรมีเหตุมีผล และไม่ทำตัวโง่งมเหมือนกับพวกนักการเมืองแก่ๆ ในทีวีที่เราแชร์ภาพและถ้อยคำไร้สาระของเขาเพื่อประจาน และก็หัวเราะเยาะกันแบบสะใจอยู่ตอนนี้
มีงานวิจัยทางการแพทย์ไม่น้อยที่ยืนยันว่า การฝึกสมองให้ Openness หรือเปิดกว้าง จะช่วยลดอาการสมองเสื่อมและช่วยให้เรามีอายุยืนยาวขึ้น การให้คนแก่เล่นเกมปริศนา ครอสเวิร์ด ซูโดกุ หรือแม้กระทั่งตั้งวงไพ่ในบ้านอยู่เสมอๆ พาไปเที่ยวที่ไกลๆ เปลี่ยนบรรยากาศจากห้องนั่งเล่นที่เหม็นยาหม่องและอึฉี่ หาเพลงใหม่มาฟัง หนังใหม่มาดู ก็ช่วยให้เขามีสังคมและได้ลับสมองตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าปล่อยให้คนแก่ๆ อินการเมืองแบบแบ่งขั้วมากเกินไป เพราะมันทำลายการรู้คิดและกระบวนการคิดของคนเรา แม้กระทั่งหนุ่มสาวก็ตาม คนแก่ส่วนมากอยู่กับบ้านและเปิดรายการทีวีหรือวิทยุที่เป็นสื่อแบบแบ่งข้าง หรือ partisan press วนไปทั้งวัน เนื้อหาพวกนี้ฟังแล้วเพลิดเพลิน แต่มันทำให้คนแก่คิดวนเวียนและคิดด้วยเส้นทางเดิม ต้องการฟังสิ่งที่สอดคล้องกับอคติเดิมไปเรื่อยๆ
ไม่ว่าพวกเขาเคยเก่งกล้าฉลาดเฉลียวแค่ไหน เคยเป็นคนดีแค่ไหน มีคุณงามความดีที่เคยสั่งสมมาแค่ไหน ไม่ว่าจะนักวิชาการ ดารา หรือนักคิดนักเขียน ล้วนไม่มีใครสู้สังขารตัวเองได้ ดังนั้น เมื่อเราแก่ๆ ลง สิ่งแรกที่เราต้องระมัดระวังอย่างมากก็คือการทำงานของสมองตัวเอง ถ้าใครมีคนแก่ที่บ้านก็ต้องคอยดูแลตักเตือนกัน และที่สำคัญคือต้องคอยเตือนตัวเองและระมัดระวังความคิดของตัวเองกันด้วย