วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ | PASSION

การได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าที่นิตยสาร GM ทำให้ภาพความหลังและความรู้สึกเก่าๆ ย้อนกลับมา

พอดีเดินสวนกับอาร์ตไดเรกเตอร์เพื่อนเก่า เขาก็เลยชวนให้ไปนั่งคุยกันที่โต๊ะทำงาน ตอนนี้ตำแหน่งหน้าที่ของเขาเติบโตขึ้นไป จนมีโต๊ะใหญ่โตและมีห้องทำงานเป็นสัดเป็นส่วน เราไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่แค่อึดใจ คุณปกรณ์ พงศ์วราภา ก็เปิดประตูเข้ามาพอดี

“ผมยังตามอ่านบทบรรณาธิการของคุณอยู่ตลอด” เขาเอ่ยขึ้นมา

ถึงแม้เราไม่ได้พบเจอกันนานเป็นปีๆ แต่ผมไม่แปลกใจเลยที่ประโยคแรกในการทักทายกันคือเรื่องงาน เพราะคุณปกรณ์เป็นแบบนี้มาตลอดสิบกว่าปีที่ผมรู้จัก ผมเห็นเขาดำรงอยู่ในปริมณฑลของงานตลอดเวลา ถือซองฟิล์มสไลด์ภาพถ่ายปึกใหญ่ๆ ถือม้วนกระดาษเอสี่ต้นฉบับ เดินไปเดินมาในออฟฟิศที่เคยเป็นตึกเล็กๆ แออัดคับแคบบนถนนพิชัย เรื่อยมาจนถึงเป็นอาคารเจ็ดชั้นทันสมัยใหญ่โตบนถนนพระรามห้า

เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ไม่มีใครใช้ฟิล์มสไลด์ถ่ายภาพกันอีกแล้ว เขาจะไปนั่งประกบอยู่ที่โต๊ะฝ่ายศิลป์ ถอดแว่นสายตายาวออก แล้วเพ่งดูไฟล์ภาพที่ทีมงานคัดเลือกมา มองหาแมจิกโมเมนต์ที่นายแบบนางแบบยิ้มเป็นธรรมชาติและสบตากับคนอ่าน นำมาวางเป็นหน้าปกและเนื้อหาด้านใน เอาไฟล์เท็กซ์มาวางปู ไล่อ่านคำพาดหัวเรื่อง คำโปรยนำเข้าเนื้อหา และกวาดตาอ่านเท็กซ์ตัวเล็กๆ อย่างชำนาญ

ใบหน้าของเขาแทบจะแนบชิดติดกับจอแมครุ่นล่าสุด แสงสีฟ้าสว่างเรืองทาบทับบนสีหน้าอันนิ่งเฉย ซึ่งเป็นดีฟอลต์โหมดและเป็นสัญญาณที่ดีว่าผลงานของทีมเราในเดือนนี้ดีพอ ในทางตรงกันข้าม ถ้าผลงานยังบกพร่อง มีตำหนิ สีหน้าที่อยู่ตรงหน้าจอนั้นจะดูเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ พาดหัวยาวไป… สั้นไป… มีคำโปรยใหม่ที่คมกว่านี้ไหม… เนื้อหาอ่านแล้วไม่รู้เลยว่าคุณจะสื่ออะไร… ภาพที่เลือกมามีเท่านี้เองเหรอ… ช่างภาพสมัยนี้มันเป็นอะไรกัน ทำไมถ่ายภาพมาสีหน้าเดียวกันหมด… เขาจะใช้นิ้วชี้และนิ้วโป้งนวดที่หัวตา แล้วโทร.เรียกทีมงานแต่ละฝ่ายมาแก้ไขขัดเกลา จนกระทั่งได้ผลงานที่พึงพอใจ ก่อนจะปล่อยไฟล์ดิจิตอลเหล่านั้นเข้าไปสู่กระบวนการพิมพ์ และนำขึ้นไปอวดโฉมเป็นสสารบนแผงนิตยสารทุกเดือน

ภาพและเสียงในความทรงจำเหล่านั้นลอยกลับเข้ามาในหัว ผมลอบสบตากับอาร์ตไดเรกเตอร์เพื่อนเก่า ว่าคงถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินออกจากห้องไป แล้วปล่อยให้กระบวนการตรวจงานอย่างคร่ำเคร่งเริ่มขึ้นอีกครั้ง ตอนที่คุณปกรณ์กำลังนั่งลงประจำที่ของเขา ถอดแว่นสายตายาวออก นั่นเป็นแมจิกโมเมนต์ที่คุณจะเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจมากๆ มันแปลกประหลาดและอธิบายออกมาได้ยาก

คนในวัยปูนนี้ที่ได้เป็นปู่ของหลานแล้ว เคยมีตำนานเล่าขานกันมาถึงการต่อสู้ชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ ยากจนขนาดที่ต้องจุดเทียนเพื่อแอบอ่านและเขียนหนังสือในมุ้ง ตัดสินใจออกจากบ้านมาตามหาความฝัน การเป็นนักเขียนแนวเพื่อชีวิตในยุคของเสรีชนคนหนุ่มสาว ผันตัวมาสู่การเป็นเจ้าของนิตยสารปลุกใจเสือป่า แล้วก็ขยายองค์กรธุรกิจผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ มาจนถึงยุคสมัยที่ดิจิตอลกำลังจะรื้อทำลายสิ่งเก่าในวงการ

ถ้าเป็นคำเกร่อๆ ของคนสมัยนี้ เราก็อาจจะเรียกมันว่า ‘แพสชัน’ หรืออะไรทำนองนั้น แต่ในสีหน้าและแววตาที่จ้องมองหน้าจอ เขากำลังบอกอะไรเรามากกว่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วเขาบอกมาตลอดเวลาหลายสิบปี

ในขณะที่คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ตั้งคำถามกับงานที่รัก ชีวิตที่ดี ความสุข ความสำเร็จ ทุกคนถามหากันแต่คำว่าแพสชันๆ ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผมทำงานที่นั่น ผมเห็นคนหนุ่มสาวมากมายที่ตามหาไม่เจอเสียที แน่นอนว่าในวัยวันแบบนั้นย่อมรวมถึงตัวของผมเองด้วย พวกเราเคว้งคว้าง ล่องลอย และกล่าวโทษคนรุ่นเก่า กล่าวโทษทุนนิยม ที่สร้างความบีบคั้นและข้อจำกัดขององค์กรธุรกิจ ฯลฯ สารพัดสิ่งนอกตัวและเงื่อนไขจากภายนอกที่เราใช้เป็นข้ออ้างถึงความไม่มีความสุขของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อยิ่งทำงานมานานขึ้นและยิ่งมีวัยสูงขึ้น ผมเองเปลี่ยนความคิดไปจากเดิมอย่างมาก และกลับยิ่งแน่ใจว่าเราไม่สามารถตามหาและค้นพบแพสชันอะไรนั่นด้วยการตั้งเป้าที่ปลายทางตั้งแต่ต้น ไม่ว่าจะเป็นงานที่รัก ชีวิตที่ดี ความสุข ความสำเร็จ

น่าแปลกใจที่งานใน a day BULLETIN ตลอดช่วงปีกว่าๆ ทีมของพวกเราที่นี่เคยนำเสนอเรื่องราวชีวิตของนักร้องอายุหกสิบ ที่ยังยืนยันว่าอยากจะทำงานทั้งร้องและเต้นรำต่อไปเรื่อยๆ ช่างภาพอายุเกือบเจ็ดสิบที่ยังกอดกล้องอยู่กับตัวตลอดเวลาแม้กระทั่งตอนเข้านอน บางคนเป็นนักแสดงอายุเจ็ดสิบกว่าก็ยังชอบทำงาน ฯลฯ คนเหล่านี้ชอบเล่าเรื่องราวชีวิตการทำงานอันยากลำบาก ผ่านอุปสรรคขวากหนามมาอย่างโชกโชน และจนถึงวัยนี้ก็ยังยืนยันว่าจะยังคงทำงานที่เขาบ่นว่ายากลำบากนั้นต่อไป

ความยากสำหรับคนรุ่นเก่าคืออะไรรู้ไหม? ในยุคสมัยที่เรายังถ่ายภาพกันด้วยฟิล์มสไลด์ และเรายังเผยแพร่เนื้อหากันด้วยสสารกระดาษ คุณจะไม่มีทางได้เห็นผลงานที่ทำในทันทีทันใด และไม่มีคำชม ชื่อเสียง รางวัล หรือผลตอบแทนใดๆ มาวางรออยู่ตรงหน้า ไม่มีการวัดคุณค่ากันเชิงปริมาณ ด้วยยอดตัวเลขไลก์ ไม่มีแชร์ ไม่มีวิว ไม่ว่าจะออร์แกนิกหรือจ่ายเงินก็ตาม

คุณทำได้อย่างเดียว คือทำงานไปเรื่อยๆ เดือนแล้วเดือนเล่า ทำโดยไม่รู้เลยว่ามันดีพอหรือยัง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เป็นนักเขียนที่เคยออกพ็อกเก็ตบุ๊กมามากมาย เป็นวิทยากรสอนพิเศษให้สถาบันการศึกษา คุณจะไม่สามารถมีอัตตาใดๆ เมื่อเฝ้ามองเห็นสีหน้าอันนิ่งเฉยนั่งเพ่งหน้าจอแมค แล้วรอลุ้นว่าเดือนนี้จะเป็นอย่างไร เผชิญหน้ากับความล่าช้าในการรับผลตอบแทน การสละตัวตนแล้วน้อมลงทำงานตรงหน้า ไม่ว่าคุณเป็นใคร เมื่ออยู่ในโลกของการทำงานแบบนี้ คุณเป็นเพียงผู้ฝึกปรือ ไม่ได้เป็นยอดฝีมือ แต่งานจะช่วยฝึกปรือฝีมือไปเรื่อยๆ

ความสุขไม่ได้มาจากแค่รอวันสิ้นเดือนเพื่อเอาเงินเดือนไปจับจ่ายกับการกิน ดื่ม เที่ยว ช้อปปิ้ง บริโภค และความสำเร็จก็ไม่ได้อยู่ที่การเฝ้าสไลด์หน้าจอมือถือเพื่อนับจำนวนตัวเลขที่เพิ่มขึ้น ถ้าไม่เพิ่มขึ้น หรือเพิ่มขึ้นช้าก็วิตกกังวล เสียใจ รู้สึกล้มเหลวแล้วก็ล้มเลิกที่จะทำงานต่อไป

แต่งานที่เราทำกลับให้ความหมาย และเป็นจุดหมายที่แท้จริงที่เรากำลังแสวงหา การนั่งเคี่ยวกรำกับตัวเอง เพื่อทำบทสัมภาษณ์ สารคดี บทความ ฯลฯ ผ่านไปนับร้อยๆ พันๆ ชิ้น กลายเป็นความสุขและความสำเร็จในตัวมันเอง เกือบยี่สิบปีที่ทำงานมา และสิบกว่าปีที่อยู่ที่นั่น สอนผมแบบนี้

“บทบรรณาธิการของคุณน่ะมีหลายชิ้นที่ผมชอบมากๆ หลายชิ้น หลายชิ้นเลยล่ะ” เขาพูดไล่หลังมาตอนที่ผมกำลังเดินออกจากห้อง

ผมตกใจ หันกลับไปหา แล้วเห็นเขายิ้มให้ เวลาสิบกว่าปี สิบกว่าปีที่ผมเห็นเขายิ้มน้อยครั้งมาก น้อยครั้งมากเลยล่ะ