สิ่งแวดล้อม

วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ | ความเหนื่อยล้าจากความสัมพันธ์ ที่แบ่งแยกเราออกจากโลก

แค่บัวลอยน้ำขิงอย่างเดียว ร้านที่ตลาดแถวบ้านก็ใส่มาในถุงพลาสติกสี่ใบ ใบหนึ่งใส่บัวลอย ใบหนึ่งใส่น้ำขิง ใบหนึ่งใส่ปาท่องโก๋กรอบ และอีกใบหนึ่งที่มีหูหิ้วด้วยใช้ใส่รวบรวมส่วนประกอบทั้งหมดที่ว่ามา ซึ่งถ้าต้องแยกน้ำเชื่อมหรือน้ำตาลทรายแดง จำนวนถุงพลาสติกก็จะเพิ่มขึ้นไปได้อีก

เมื่ออ่านมาถึงย่อหน้านี้ คุณก็คงจะพอเดาได้แล้ว ว่านี่จะเป็นอีกบทความหนึ่งซึ่งเขียนบ่นเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องที่คุณรู้อยู่แล้ว และมีคนพูดถึงมันบ่อยมามากแล้ว คุณจะเริ่มอยากพลิกหน้ากระดาษหนีไปเสีย คำถามคือเพราะอะไร

     ในขณะที่เราทุกคนตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา เรารู้แม้กระทั่งวิธีการต่างๆ นานา ที่จะมาช่วยกันแก้ไขป้องกัน แต่ในที่สุดมันมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นจริง ไม่ค่อยได้ผล และการพูดถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ทั้งที่มันเคยมียุคหนึ่งสมัยหนึ่งซึ่งผู้คนสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมกันมากเหลือเกิน ถึงขนาดที่นักร้องดังทุกคนจะต้องมีเพลงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของตัวเองในอัลบั้มที่ออกใหม่ในแต่ละปีๆ

     คนส่วนใหญ่ชี้นิ้วออกไปภายนอกตัว แก้ตัวว่าก็เพราะร้านค้าเขาใส่มาให้แบบนี้ แล้วจะให้ทำอย่างไร ถ้าพร่ำสอนให้เอาชามหรือปิ่นโตไปซื้อแล้วใส่กลับมาบ้าน ก็บอกว่ามันไม่สะดวกสบาย ไม่เห็นคนอื่นเขาทำกัน ถ้าจะแนะให้ไปนั่นกินที่ร้านเขาเลย ก็ทำไม่ได้อีก เพราะเป็นร้านรถเข็นแผงลอยเล็กๆ ไม่มีที่ให้นั่งกิน

     บัวลอยน้ำขิงถุงเดียวจากตลาด ใช้อธิบายรากของสังคมที่เรากำลังมาอยู่ร่วมกัน มันไม่ใช่แค่เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่เรื่องปัญหาขยะพลาสติก แต่มันคือการต่อสู้ดิ้นรนของปัจเจกบุคคล ในสภาพสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม

 

     เมื่อวันก่อนมีคลิปยอดนิยมคลิปหนึ่งในโซเชียลมีเดีย ผู้กำกับหนังชื่อดังออกมาพูดถึงปัญหาขยะพลาสติกและโฟมในกองถ่ายทำ ทีมงานจำนวนมหาศาลต้องมาออกกองด้วยกัน ทำงานร่วมกันในโลเกชันหนึ่งๆ จนเมื่อเลิกกองในแต่ละวันๆ จะพบว่าทุกคนผลิตขยะจำนวนมหาศาลออกมาอย่างไม่มีทางเลือกอื่น

     ผมคิดว่าชีวิตและการงานของผู้คนในเมืองใหญ่ทุกวันนี้ ก็เปรียบเหมือนกับฮอลลีวูดโมเดลแบบนี้ คือแต่ละคนมีความสามารถแตกต่างกัน ถูกระดมให้มาอยู่ร่วมกันเพื่อทำภารกิจหนึ่ง จนเมื่อสำเร็จเสร็จสิ้นก็รับส่วนแบ่งแล้วก็แยกย้ายกันไป

     เราต่างก็รู้สึกว่าทุกอย่างในสังคมนี้เป็นแค่สภาวะชั่วคราว ไม่ได้ลงหลักปักฐาน ล่องลอย เหมือนกับรถเข็นแผงลอย อีกทั้งเรายังรู้สึกแยกขาดจากกัน แปลกแยก ไม่ผูกพัน แต่ละคนก็แค่รับผิดชอบชีวิตและการงานของตัวเองในแต่ละวันๆ ให้ลุล่วงไปด้วยดีก็พอ

     ในเมื่อวิถีชีวิตเราเป็นแบบนี้ เหมือนกองถ่ายหนัง เหมือนร้านแผงลอยในตลาด เพียงแค่พยายามปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ หรือรับผิดชอบในส่วนของตัวเองให้ดีก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาตำหนิหรือกล่าวโทษกันว่ามักง่ายหรือเห็นแก่ตัว

     เรามองไม่เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างคนกับคน คนกับโลก เมื่อหลายสิบปีก่อนเราเคยพยายามมาครั้งหนึ่ง ตอนนั้นมีเทรนด์ยอดฮิต พวกนักร้องดังระดับโลกมารวมตัวกันร้องเพลงและจัดคอนเสิร์ต เพื่อช่วยเหลือเด็กอดอยากในทวีปแอฟริกา หรือพวกนักร้องเพลงเพื่อชีวิตในบ้านเราร่วมกันร้องเพลงและจัดคอนเสิร์ต เพื่อต่อต้านการสร้างเขื่อนและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

     ความรู้สึกสัมพันธ์กับสิ่งอื่นที่อยู่นอกตัว และห่างไกลตัวออกไปมากๆ ทั้งเด็กแอฟริกาและต้นไม้ในป่าเขา เป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้เราล้า ทุกวันนี้เมตตาธรรมก็ล้า สิ่งแวดล้อมก็ล้า ความคิดแบบปัจเจกชนนิยมทำให้เราย้อนกลับมาอยู่กับตัวเองที่เหนื่อยน้อยกว่า วิตกกังวลน้อยกว่า เพียงแค่ควบคุมตัวเองให้ดี และมาอยู่ร่วมกัน ทำงานด้วยกันแบบชั่วครั้งชั่วคราว

 

     สังคมแบบไหนกันนะที่ทำให้เราอ่อนล้ากับความสัมพันธ์ได้ถึงเพียงนี้ ถึงแม้จะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยให้เราเชื่อมต่อสื่อสารและสานสัมพันธ์กันมากแค่ไหน แต่บนหน้าจอนั้นก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ เราสไลด์หน้าจอไปในแต่ละวันๆ ก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า และยิ่งอยากกลับมาควบคุมตัวเอง

     สิ่งที่ทำได้คือการรีบบึ่งรถออกไปทำงานตอนเช้า มองเห็นรถของหน่วยงานราชการอะไรสักแห่ง จอดเปิดไฟกะพริบๆ อยู่ข้างทาง มีพนักงานเป็นสิบคนกำลังตัดโค่นต้นไม้ใหญ่สองข้างถนน เราเพียงแค่ด่าและตำหนิอยู่ในใจ อาจจะถ่ายรูปประจานในโซเชียลฯ นิดหน่อย แล้วก็ค่อยๆ อ้อมรถหลบไป ไม่ให้เกิดรอยขีดข่วน ภายในรถนั้นเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เปิดเพลงกระหึ่มดัง

     ตกเย็นหลังจากทำงานเสร็จเรียบร้อยไม่มีตำหนิ เราก็แค่อยากรีบบึ่งรถกลับบ้าน แวะซื้อของกินในตลาดสดที่ทุกร้านล้วนเป็นแผงลอย เสิร์ฟทุกอย่างในถ้วยโฟมและถุงพลาสติก ซื้อง่ายขายคล่อง เพื่อที่ทุกคนจะได้หอบหิ้วถุงพลาสติกพะรุงพะรัง มัดปากถุงหูหิ้วแล้วโยนใส่ท้ายรถ แล้วรีบแยกย้ายกันกลับเข้าบ้านของตัวเอง

     พอกลับถึงบ้าน แกะถุงออกทีละใบๆ เททุกอย่างใส่รวมกันไว้ในชามใบใหญ่ เราจะเห็นว่าปาท่องโก๋ค่อยๆ ดูดซับน้ำขิงเข้าไปจนตัวมันอ่อนยวบยาบ แป้งเปลือกบัวลอยงาดำค่อยๆ ละลายสลายออกมาปนอยู่ในน้ำขิงร้อนๆ จนเหนียวหนืดขุ่นข้น

     วางทิ้งไว้แล้วไปเข้าห้องน้ำเพียงแป๊บเดียว ออกมาตักกิน แล้วก็จะพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ แท้จริงแล้วมันพยายามสลายตัวเองเพื่อสานสัมพันธ์เข้ากับสิ่งอื่น

     ถุงพลาสติกสี่ใบถูกโยนลงถังขยะไป มีเพียงพวกมันเท่านั้นที่คอยแบ่งแยกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือตัวเราเองนั่นแหละ เราทุกคน

     ปัญหาสิ่งแวดล้อมจึงไม่ใช่เรื่องการโทษกันไปมา ไม่ใช่ความมักง่ายหรือเห็นแก่ตัว แต่มันคือความรู้สึกอ่อนล้าจากความสัมพันธ์ และเราต้องการจะแบ่งแยกออกจากกัน