“จะไปเซเว่น มีใครเอาไรมั้ย?”
พอตกบ่ายหน่อย ความง่วงเหงาและความรู้สึกเบื่อหน่ายต่องานที่อยู่ตรงหน้า ก็ทำให้ทีมเรารวมตัวกันเดินเตร็ดเตร่ออกไปร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย หาซื้อขนมกรุบกริบและเครื่องดื่มเย็นๆ จนกลายเป็นกิจวัตรของวันทำงานไปแล้ว
ในยุคสมัยของเรา ความทุกข์ยากของชีวิตนั้นไม่ใช่ภัยคุกคามที่มาจากโลกภายนอก ไม่มีสงคราม โรคระบาด ความอดอยากแร้นแค้น แต่มันกลับเป็นความรู้สึกเบื่อหน่าย ในยุคสมัยแห่งความสะดวกสบาย ความมั่นคงปลอดภัย และความพรั่งพร้อมจนล้นเหลือ กลับทำให้ความทุกข์ยากผุดขึ้นมาจากภายใน
กิจกรรมส่วนใหญ่ที่เราทำในชีวิตประจำวันนั้น แท้ที่จริงก็คือเพื่อหนีให้พ้นออกจากความเบื่อ พอนั่งทำอะไรไปสักพักก็ทนอยู่กับมันไม่ได้ ต้องเปลี่ยนไปทำอะไรอย่างอื่น แล้วก็เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นอีกไม่รู้จบ พอเปิดหน้าจอไปเปิดโซเชียลมีเดีย ก็ไปเปิดวิดีโอดู สักพักก็เล่นเกม แล้วอีกสักอึดใจ พอเริ่มเบื่ออีกครั้ง เราก็จะคลิกต่อไปยังเว็บหรือแอพฯ ช้อปปิ้งออนไลน์
หลายวันก่อนผมฝากให้น้องในทีมช่วยสั่งซื้อแท่นรองโน้ตบุ๊ก เพราะนั่งก้มหน้าพิมพ์งานต้นฉบับไปนานๆ ทำให้รู้สึกปวดไหล่ ปวดต้นคอ เหมือนจะเป็นออฟฟิศซินโดรม น้องก็เปิดเข้าไปในเว็บช้อปปิ้งออนไลน์เจ้านั้นเจ้านี้ เปรียบเทียบราคาไปเรื่อยๆ เว็บนี้ตั้งราคาถูกกว่า แต่อีกเว็บหนึ่งคิดค่าส่งถูกกว่า คลิกไปคลิกมาก็หมดเวลาไปทั้งบ่าย ราวกับว่าเรานั่งดูข้าวของในเว็บช้อปปิ้งออนไลน์พวกนี้ไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องจ่ายเงินเลย แต่ก็รู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน แก้เบื่อแก้เซ็งได้แล้ว
ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ธุรกิจค้าปลีกยังไม่เปลี่ยนแปลง วันเสาร์-อาทิตย์หรือตอนเย็นหลังเลิกงาน พอไม่มีอะไรทำ เราก็ออกไปเดินวินโดว์ช้อปปิ้งที่ศูนย์การค้า ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้าง หรือถึงแม้ไม่ได้ซื้ออะไรเลย การช้อปปิ้งทำให้หายเบื่อได้ เพราะมันคือการสนทนากับสินค้าที่พวกมันพยายามเข้ามาเสนอตัวให้เราเลือก
วันสุดสัปดาห์จะสมบูรณ์แบบไปไม่ได้ถ้าไม่ได้เข้าร้านแนวฟาสต์แฟชั่น เสื้อผ้าลดราคาจะถูกจัดไว้ในซอกหลืบหลังร้าน เราจะเดินผ่านดิสเพลย์เสื้อผ้าใหม่ๆ ลดราคาจาก 990 เหลือ 790 หรืออะไรทำนองนี้ไปเรื่อยๆ หยิบจับเสื้อตัว กางเกงตัว กว่าจะไปถึงชั้นวางของลดราคาที่พลิกไปพลิกมา ก็พบว่าเราไม่ได้อยากได้หรอก แต่หยิบใส่ตะกร้าไว้เผื่อจะใช้
ในร้านขายสินค้าทุกอย่างหกสิบบาท เรากวาดตาหาสินค้าที่ดูท่าทางว่ามันน่าจะราคาเกินหกสิบบาท หยิบจับใส่ตะกร้าไปมา ตอนเทออกมาบนโต๊ะแคชเชียร์ก็กลายเป็นเงินสามสี่ร้อยบาทเป็นอย่างน้อย ก่อนที่จะนำกลับไปถึงบ้านแล้วก็นึกไม่ออกว่าเราจะเอามันไปใช้ทำอะไร
เราเบื่อกันเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ และจำเป็นจะต้องกระโจนออกไปหาอะไรแก้เบื่อได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น อย่างทันทีทันใด ธุรกิจค้าปลีกจึงต้องปรับตัวให้ทันกับความเบื่อของคนรุ่นใหม่ การรอคอยไปเดินศูนย์การค้าในวันพักผ่อนจะไม่ท่วงทันกับความเบื่อ ธุรกิจช้อปปิ้งออนไลน์จึงขยายตัวรวดเร็ว และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเราอย่างเงียบเชียบ ส่วนใหญ่เรานั่งเบราส์สินค้าไปคนเดียวอย่างเงียบๆ ถ้าไม่บอกก็คงนึกว่ากำลังนั่งคร่ำเคร่งทำงาน เราช้อปฯ ได้ตลอดวัน จนบางครั้งกดซื้อไปแล้วลืมเสียสนิท จนกระทั่งมีพัสดุมาส่งถึงบ้านแล้วนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
ไม่ใช่แค่คนหนุ่มสาวเท่านั้นที่จะเบื่อกับชีวิตในวัยทำงาน ถ้าได้ไปเดินดิสเคานต์สโตร์ และศูนย์การค้าชานเมืองห่างไกล ลองสังเกตดีๆ คุณจะคนสูงอายุจำนวนมากออกไปเดินเตร็ดเตร่หรือจับกลุ่มกันใช้เวลาเพื่อแก้เบื่ออยู่ในสถานที่แบบนั้น
พอสิ้นเดือนทีก็จะมีโปรโมชันส่งเสริมการขาย ประเภทว่าถ้าซื้อครบ 1,000 บาท จะได้รับคูปองแทนเงินสด 100 บาท เอาไว้ซื้อของครั้งต่อไป ได้รับแสตมป์สะสมเอาไว้ซื้อหม้อรามชามไหต่างๆ ในราคาพิเศษ จะมีคนแก่เดินเข็นรถพร้อมกับถือเครื่องคิดเลขในมือ คำนวณราคาของในรถเข็นให้ถึงเป้าของโปรโมชัน เพื่อจะได้รับรางวัลตอบแทน ตรงบริเวณแถวแคชเชียร์คิดเงิน จะเห็นคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินเพ่นพ่าน ถามคนนั้นคนนี้เพื่อขอคูปองหรือแสตมป์ถ้าไม่ได้นำไปใช้
ข้าวของที่ซื้อมาหรือหม้อรามชามไหที่แลกมาได้ ไม่ใช่เป้าหมายที่ต้องการ แต่ตัวกระบวนการช้อปปิ้งนั่นเองที่เป็นเป้าหมาย
หลังจากการนั่งเฝ้าหน้าจอทีวีทั้งวันทั้งคืนอย่างเบื่อหน่ายมาตลอดสัปดาห์หรือตลอดเดือน พวกเขาหนีออกจากความเบื่อนั้นด้วยการผจญภัยในเขาวงกตของชั้นวางสินค้า และต่อสู้เอาคืนจากระบบทุนนิยมที่พรากชีวิตวัยหนุ่มสาวของพวกเขาไป ด้วยการเอาชนะโปรโมชันหรือรายการแลกซื้อต่างๆ
ความเบื่อมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ และเป็นแรงผลักดันโลกธุรกิจสมัยใหม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ พอๆ กับอารมณ์แบบอื่น อย่างเช่นความรัก ความโกรธเกลียด ความกลัว และความเศร้าโศก อารมณ์ทำให้การตัดสินใจของเราไม่มีเหตุผลหรือเหตุผลถูกบิดเบือนไป เราเบื่อและซื้อของเพียงเพราะว่ามันลดราคาเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ โดยที่เราลืมไปว่าถ้าเราไม่ซื้อเลย มันจะประหยัดร้อยเปอร์เซ็นต์
ในแต่ละวันๆ ที่เราสไลด์หน้าจอไปเปิดดูโน่นดูนี่ บางทีไม่ทันคิดว่าการเปิดดูยูทูบแก้เซ็งหรือไถฟีดส์เฟซบุ๊กไปสักพักเป็นการสิ้นเปลืองหรือต้องใช้จ่ายอะไรออกไป ทั้งที่จริงแล้วเราแลกความเบื่อนั้นกับสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโลกยุคปัจจุบัน ก็คือเวลาในชีวิตของเราเอง
สังเกตไหมว่าเข้าร้านสะดวกซื้อทีหนึ่งๆ แค่ขนมซองหนึ่ง ชาเขียวหรือน้ำอัดลมขวดหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้จ่ายสี่สิบห้าสิบบาท ถ้าแวะซื้อผลไม้หรือลูกชิ้นทอดจากแผงลอย เผื่อตุนเอาไว้รองท้องตอนเย็นที่รถติดๆ ยังไม่อยากกลับบ้าน โดยที่ไม่รู้ตัวเลย ว่ารวมแล้วก็ต้องจ่ายเกินร้อยสำหรับการแก้เบื่อ และมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้จริงๆ
บางทีแค่ออกจากออฟฟิศอุดอู้ด้วยแสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ เดินลงบันไดไปสามสี่ชั้น ออกไปเจอสายลมแสงแดด หมาจรจัดนอนหาวหวอดๆ อยู่ใต้ท้องรถ บางทีแค่นี้ก็ทำให้หายเบื่อได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะยังเดินไปไม่ถึงปากซอยเลยก็ตาม