นิ้วกลม

วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ | ระหว่างความตายกับการพูดในที่สาธารณะ อย่างไหนน่ากลัวกว่ากัน?

1.

เช้าวันเสาร์ ภรรยานั่งกินกาแฟและไถฟีดเฟซบุ๊กไปเรื่อยๆ แล้วก็เปรยขึ้นมา ว่าแหม… นิ้วกลมนี่เขาดังจังเลยนะ ถึงขนาดต้องมีการจัดงานศพล่วงหน้าให้ด้วย

เสียงภรรยาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ขณะที่ผมกำลังนั่งก้มหน้าไถฟีดเฟซบุ๊กอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้าน และก็เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงโพสต์ของงานอีเวนต์ที่ผมเพิ่งกดแชร์ไปเมื่อสักครู่นี้เอง เพื่อโฆษณาตัวเองให้เพื่อนๆ ได้รู้ว่าจะมาร่วมเป็นสปีกเกอร์ในงาน

     มันเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด เช้าวันหยุดเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวได้อยู่กันพร้อมหน้า แต่คู่สามีภรรยาไม่ได้พูดคุยสื่อสารกัน ต่างคนต่างอยู่ แต่สองคนนั้นกลับมาสื่อสารกันผ่านหน้าจอ สามีก็โพสต์สเตตัสหนึ่ง ภรรยาก็อ่านสเตตัสนั้นไป มีเพื่อนคนหนึ่งเคยโพสต์สเตตัสว่านี่คือจุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดของมนุษยชาติ

     สักพักเธอก็เปรยๆ ถามว่าแล้วคุณจะไปพูดเรื่องอะไร? ผมก็เปรยๆ ตอบว่าไม่รู้ ยังไม่ได้มีประเด็นอะไร แถมยังไม่มีความรู้เรื่องธรรมม้งธรรมะอะไรเหมือนกับสปีกเกอร์คนอื่นเขาด้วย

     รู้แค่ว่าใครจะไปสนใจ? จังหวะนี้ โอกาสนี้ ในงานอีเวนต์ใหญ่ขนาดนี้ ชื่อของเราได้ถูกนำมาแปะอยู่ในลิสต์ร่วมกับกูรู ผู้คนที่มีชื่อเสียงมากมาย และแน่นอนว่าแปะอยู่กับนิ้วกลม คนที่เธอเพิ่งจะแซะๆ ไป ว่าแหม ดังมากเลยนะ

 

2.

     หลายสัปดาห์ก่อนหน้านั้น ตอนที่ทีมงานชูใจติดต่อมา ผมก็รีบตอบตกลงไป โดยที่ยังไม่ได้ดูรายละเอียดอะไร จนกระทั่งเธอส่งไฟล์รายละเอียดของงานนี้มาทางอีเมล อ่านไปอ่านมาก็ตื่นเต้นตกใจ ว่าเป็นการพับลิกสปีกกิ้งอีกแล้วเหรอ

     ตอนเธอโทร.มาติดตามอีกครั้ง ผมถามย้ำไปอีกที มันคือพับลิกสปีกกิ้งใช่ไหม เธอบอกว่าใช่ค่ะ เหมือนเท็ดทอล์กอะค่ะ คนละสิบห้านาทีเองค่ะ

     …เองค่ะ – คือเธอพูดเหมือนเรื่องง่ายๆ

     มีมุกตลกที่ไม่รู้ว่ามีข้อเท็จจริงประการใด อาจจะเป็นเหมือนมีมที่แชร์แพร่ไปกันในกรุ๊ปไลน์คนแก่ และผมอยากจะเอามาเล่าบนเวทีนี้ ใช่ โดยที่ไม่ได้ตรวจสอบอะไร โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ ซึ่งนี่คืออีกจุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดของมนุษยชาติอย่างที่ว่า

     เขาบอกว่าเคยมีการสำรวจถึงสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษยชาติ ไปถามคนทั่วไปว่าอะไรที่เขากลัวที่สุด คุณคิดว่าคำตอบอันดับหนึ่งคืออะไร ผี ความมืด งู เลือด ความตาย ไม่ใช่สิ่งเหล่านี้เลย สิ่งที่คนกลัวที่สุดอันดับหนึ่งคือการพูดต่อหน้าสาธารณะ กลัวมากกว่าความตาย ความตายนั่นแค่อันดับสองรองลงมา

     นักแสดงตลกชื่อว่า เจอร์รี ไซน์เฟลด์ พูดว่า คนเรากลัวการพูดต่อหน้าสาธารณะมากกว่ากลัวตายเสียอีก นั่นหมายความว่า ถ้าคุณต้องไปงานศพสักงาน คุณอยากเป็นคนที่นอนในโลง มากกว่าคนที่ต้องออกมายืนพูดไว้อาลัยแบบนี้

 

3.

     หลายวันมานี้อากาศในกรุงเทพฯ เริ่มเย็นลง เมื่อวันก่อนตื่นมาตอนเช้าผมรู้สึกแสบคอ ระคายคอ ไอแค่กๆ คัดจมูก ดีใจมาก ในหัวก็คิดแล่นไปล่วงหน้าว่าจะรีบไปหาหมอ ขับรถบึ่งไปโรงพยาบาล ถ่ายรูปเซลฟีตัวเองใส่หน้ากากอนามัยนั่งรอคิวหาหมอ พร้อมกับโพสต์แคปชันบอกว่า โอยๆ ป่วยหนักมาก แย่จัง เสร็จแล้วโพสต์ต่อมาก็ถ่ายภาพซองยา พร้อมกับคำเปรยๆ ว่าสงสัยจะมาพูดงานนี้ไม่ได้แล้ว

     รอดแล้วกู หมายความว่าจังหวะนี้ กูยอมป่วยดีกว่าจะต้องมาขึ้นเวทีพูด และต้องโพสต์ไปรัวๆ กว่านี้อีก พอกลับถึงบ้านก็โพสต์ภาพเซลฟีเอาถุงน้ำมาโปะหน้าผาก โพสต์รูปปรอทวัดไข้ โพสต์ไปให้ต่อเนื่อง เพื่อจะสร้างหลักฐาน เพื่อทำให้ตัวตนบนโลกออนไลน์นี้ชัดเจนและต่อเนื่อง สำหรับในสายตาของใครสักคน สายตาของใคร

     แล้วก็หยิบมือถือขึ้นมา กดโทร.หาคุณทีมงานชูใจคนนั้นแหละ เอ่อ คุณครับ ไอแค่กๆ จามฮัดชิ้ว ผมพอดีว่าป่วยหนักมากเลย โง้นงี้ อ้างไปสารพัด โดยในใจก็นึกว่า เขาคงได้เห็นโพสต์สเตตัสเมื่อตะกี้ที่เราไปเซลฟีที่โรงพยาบาล

     ตัวตนออนไลน์ของเรา กลายเป็นความจริง เป็นสิ่งจริงแท้ ใช้ยืนยันความเป็นจริงในโลกแห่งความจริงได้ตั้งแต่เมื่อไร เฮ้ย นี่คืออีกจุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดของมนุษยชาติหรือเปล่า

 

4.

     แต่ในความเป็นจริง พอลุกขึ้นมาจากเตียง ล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อย อาการเจ็บคอคัดจมูกเหล่านั้นก็หายไป เราไม่ได้ป่วยอะไรเลย ร่างกายภายในแข็งแรงดี แต่จิตใจภายในทำไมมันว้าวุ่นและทนทุกข์ทรมานเหลือเกิน ยิ่งใกล้วันอีเวนต์เข้ามา ก็ยิ่งอาการหนักมากขึ้น

     ใจมันทนไม่ไหว ก็เลยออกล่องลอยเตร็ดเตร่ท่องเที่ยวไปในจินตนาการต่างๆ นานา วาดภาพอนาคตของตัวเอง กะเก็ง คาดการณ์ วางแผน ค้นหาสารพัดวิธีให้ตัวตนนี้พ้นออกจากความวิตกกังวลในปัจจุบัน และยังคงดำรงอย่างต่อเนื่องอยู่ต่อไป

     เพราะตัวตนนี้มันดำรงอยู่มายาวนาน ผ่านมาสี่สิบกว่าปี ตั้งแต่แรกเกิด แล้วค่อยๆ รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของตัวเอง จนกระทั่งกลายเป็นนักเขียน ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรอก

     ตอนที่ทีมงานชูใจประชุมลิสต์สปีกเกอร์ ชื่อของผมคงมาใส่ในอันดับท้ายๆ นี่คือภาพที่ใจผมวาดตัวตนของตัวเองขึ้นมา ว่ามันยังไม่ดีพอ ไม่ดังพอ ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีความสุขเหมือนกับคนอื่น และมันก็ออกคำสั่ง ให้ตอบตกลง เพื่อที่ตัวตนทั้งหมดสี่สิบกว่าปีจะได้มีคนเห็นเสียทีภายในเวลา 15 นาที และเพื่อที่ต่อไปในอนาคตเราจะได้มีความสุขกว่าตอนนี้

     นี่คือฉัน คุณเห็นไหม นี่คือฉัน คุณเห็นหรือยัง ใจของเราหล่อเลี้ยงตัวตนให้คงที่และต่อเนื่อง ด้วยเรื่องเล่าดีๆ จากอดีต และการจินตนาการถึงอนาคตที่ดีกว่า

     ทีมงานชูใจบอกว่า ไม่ต้องพูดถึงนิ้วกลมก็ได้นะ ให้พูดเรื่องอื่นไป ผมนึกในใจ ว่ามันก็แหงอยู่แล้วสิวะ อันนี้นึกในใจนะ ไม่ต้องบอกหรอก ใครจะไปสนใจนิ้วกลม ใครจะอยากพูดถึงนิ้วกลม จังหวะนี้ โอกาสนี้ เพราะทุกคนล้วนสนใจแต่เรื่องของตัวเอง อยากพูดถึงเรื่องของตัวเองทั้งนั้น

 

5.

     เหมือนกับในงานสัปดาห์หนังสือที่นักเขียนอย่างเราๆ ไปแจกลายเซ็น แถวแฟนหนังสือของบูธ KOOB ยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา จนกระทั่งเขาต้องแบ่งคิวออกเป็นกลุ่มๆ แล้วค่อยพามายืนต่อคิวที่หน้าบูธทีละกลุ่มๆ เพราะไม่เช่นนั้นแถวจะยาวจนไปเกะกะหน้าบูธอื่น ซึ่งก็คือบูธของผม เดือนตุลาคมที่ผ่านมาผมไปยืนรอแจกลายเซ็นสองชั่วโมง แล้วก็เฝ้ามองคิวแจกลายเซ็นของนิ้วกลมไปเรื่อยๆ

     แหม… นิ้วกลมนี่เขาดังจังเลยนะ ถึงขนาดต้องมีการจัดงานศพล่วงหน้า – เสียงภรรยาลอยมาในหัว

     การแจกลายเซ็นในยุคนี้มันคือยังไง คือยืนต่อคิวยาวๆ ถือหนังสือที่ออกใหม่มาเล่มหรือสองเล่ม พูดคุยกับนักเขียนสักแปดวินาที เหมือนจับมือ BNK48 แล้วนักเขียนก็จะเซ็นหนังสือให้ พอเซ็นเสร็จ ทุกคนก็จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเซลฟี แล้วแน่นอนว่านำไปโพสต์ในโซเชียลมีเดีย

     คุณคิดว่านักอ่านเขาคิดอะไร พอเจอหน้ากัน ถ้าเป็นการพบกันครั้งแรกจะดีมาก เราได้กลุ่มผู้อ่านใหม่ แต่ถ้าเป็นคนที่เคยเจอกันมาแล้ว เป็นแฟนติดตามมา คำถามของเขาคือพี่จำหนูได้ไหม ผมมักจะสตั๊นต์ไปสามวิ ถ้าเราจำได้ก็จะดีมาก แต่ถ้าจำไม่ได้ ผมก็จะฉีกยิ้มกว้าง เอ่ น้อง… สักพักเขาก็จะบอกว่าเองว่าหนูที่เจอกันที่นั่น ที่นี่

     ทุกอัตตาตัวตนต้องการรับรู้และจดจำ

 

6.

     ผมถามว่า อืม ควรจะพูดเรื่องอะไรครับ เธอก็บอกว่าอยากให้พูดมุมมองที่มีต่อเรื่องความตาย ผมนึกในใจ ความตายน่ะเรื่องจิ๊บจ๊อย

     วันนี้ เราทุกคนมาร่วมงาน เช็กอินสถานที่คือวัดธาตุทอง ถ่ายภาพนิทรรศการ ถ่ายภาพเซลฟี อัพใส่โซเชียลมีเดีย เพื่อบอกใครๆ ว่าเราสนใจเรื่องความตาย แต่แท้จริงเราสนใจอะไรกันแน่

     เหมือนในงานหนังสือที่ไปขอลายเซ็น เราถ่ายเซลฟีคู่กับเขาเพื่อนำตัวตนของเรากับคนดังมาวางเคียงกัน เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่แถวบ้านผม มีรูปเจ้าของร้านถ่ายคู่กับดาราคนดังที่มากินแปะติดไว้เต็มผนัง เราเก็บมันเป็นที่ระลึก ระลึกถึงตัวตนในอดีต ที่เราจะต้องถือครองตัวตนนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนวันตาย

     ในโซเชียลมีเดีย เรามีภาพเซลฟีนับหมื่นแสน สเตตัสเปิดความในใจนับหมื่นแสน ไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำต่อเนื่องยาวนาน เป็นอีกตัวตนที่คงที่และต่อเนื่องของเรา ที่กำลังดำเนินอยู่คู่ขนานกับตัวตนจริงๆ ของเราตลอดเวลา ทุกที่ ทุกเวลา และนี่เป็นความหน่วงหนักที่ยากเกินจะทานทนไหวสำหรับบางคน

     ตัวตนมันต้องการการรับรู้และจดจำ มันเรียกร้องอยู่ตลอดเวลา สนใจฉันหน่อย ฉันมางานอีเวนต์ความตายนะ สนใจฉันหน่อย

     ซึ่งถ้าเป็นตัวผม ก็จะบอกว่า สนใจฉันหน่อย ฉันได้มาพูดในงานนิ้วกลมนะ สนใจฉันหน่อย

 

7.

     จุดหมายปลายทางของเกมตัวตน ก็คือการแข่งกันเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นไปเรื่อยๆ จนถึงวันตาย มันกระหายการรับรู้และจดจำ ถ้าถึงจุดที่ไม่มีใครจดจำ ไม่มีใครรับรู้ มันจะว่างเปล่า และเจ็บปวด

     การนั่งอยู่ตรงที่นั่งของผู้ชม ในมุมมืดที่ปลอดจากแสงไฟ ไร้การมองเห็น มันให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย แต่มันทำให้หิวโหย ระหว่างฟังอยู่นี้ คุณจะเปิดโซเชียลมีเดีย เพื่อเช็กว่าภาพเซลฟีตอนนอนในโลงศพของคุณมีคนมากดไลก์มากแค่ไหนแล้ว

     ความตายน่ะไม่น่ากลัวหรอก แต่สิ่งที่น่ากลัวน่ะ คือการดิ้นรนทนทุกข์ของตัวตนของเราเอง ด่านสุดท้ายของเกมนี้ มีบางคนเอาชนะด้วยการไลฟ์สดการฆ่าตัวตาย

     ซึ่งผมคิดว่าการไลฟ์สดการฆ่าตัวตาย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดของมนุษยชาติ

 

8.

     ผมถามว่ามีคนฟังกี่คน เขาบอกว่ารอบละ 30 คน ผมก็ลอบหัวเราะในใจ หึหึ ในเวนิวที่จัดงานน่ะสามสิบคน แต่ผมรู้ว่าคุณจะถ่ายภาพเก็บไว้ ตั้งกล้องวิดีโอ อาจจะไลฟ์ในเฟซบุ๊ก บันทึกภาพเคลื่อนไหวและเสียงตลอดสิบห้านาทีนี้เอาไว้ เอาไปตัดต่อตรงที่ผมพูดตะกุกตะกัก ซึ่งคงตัดยากหน่อย เสร็จแล้วเอาไปโพสต์ยูทูบ ซึ่งก็จะเอามาแปะลิงก์ใส่เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์

     ในที่สุดมันไม่ใช่แค่สามสิบคนนี้หรอก ตัวตนนี้จะดำรงอยู่ต่อไปด้วยสื่อบันทึกสมัยใหม่ และมันจะล่องลอยอยู่ในเครือข่ายบนฟากฟ้ากว้างไกลมหาศาล ลอยอยู่บนนั้นตลอดไป มีบางคนแคปหน้าจอไว้ บางคนโควตคำพูดเก็บไว้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมการพูดต่อที่สาธารณะจึงน่ากลัวเหลือเกิน
พอพ้นจากสิบห้านาทีนี้ไป นี่คือตัวตนที่ผมจะต้องอยู่กับมันไปอีกยี่สิบสามสิบปีที่เหลือ ถ้าโชคร้ายก็จะนานกว่านั้น ถ้าโชคดีก็น่าจะน้อยกว่านั้น

 

9.

     แล้วคุณจะไปพูดเรื่องอะไร – คำถามของภรรยาก็ลอยเข้ามา

     ใครจะไปสน ทุกคนสนใจแต่ตัวตนของตัวเองทั้งนั้น ไม่มีใครสนใจใครหรอก และไม่มีใครสนใจเรื่องความตายห่าเหวอะไรนั่นด้วย

     ผมจะไม่พูดเรื่องความตาย และผมจะไม่พูดเรื่องนิ้วกลม – ผมเปรยตอบเธอไป