หลายคนไม่ชอบหนังสือแนวพัฒนาตัวเอง (Self-help) อาจจะถึงขั้นดูถูกดูแคลนมันเลยด้วยซ้ำ เพราะรู้สึกว่าไร้สาระ เคยอ่านหลายเล่มแล้วก็ไม่เห็นว่าได้อะไรขึ้นมา มีบางคนกล่าวว่า ‘หนทางเดียวที่คุณจะร่ำรวยจากหนังสือแนวนี้ ก็คือการเขียนออกมาขายซะเองเลย’
ซึ่งไปๆ มาๆ ผมคิดว่าคำกล่าวนี้มีความถูกต้องอย่างมาก ด้วยตรรกะที่ค่อนข้างจะย้อนแย้ง ว่าเพราะอะไรน่ะเหรอ? …ก็เพราะว่าเขาลงมือทำน่ะสิ!
ปัญหาของหนังสือแนวพัฒนาตัวเองทุกเล่มในโลกคือ มันมักจะสรุปปัญหาต่างๆ ในชีวิตของเราให้กลายเป็นเพียงแนวคิดที่รวบรัด และบอกวิธีแก้ไขแบบสำเร็จรูป แล้วก็นำความง่ายนี้มาตั้งเป็นชื่อหนังสือว่า ทำแบบนั้นสิ ทำแบบนี้สิ แล้วชีวิตของคุณจะดีขึ้น เพื่อหวังดูดเงินจากกระเป๋าของผู้อ่าน ในยุคสมัยที่ผู้คนต้องแก่งแย่งแข่งขัน เร่งรีบ ไขว่คว้า ทะเยอทะยาน
สำหรับคนที่ไม่ชอบ เพราะเขารู้ว่าในโลกแห่งความจริง เมื่อเราทุกคนเติบโตขึ้นก็ได้เข้าใจว่าปัญหาไม่ได้ถูกสรุปแบบง่ายๆ แถมวิธีแก้ไขนั้นก็ยังผันแปรพลิกแพลงไปได้ร้อยแปดพันประการ ไม่มีความสำเร็จที่ได้มาง่ายๆ เหมือนในหนังสือพวกนี้บอกไว้ พอรู้แบบนี้แล้ว เราก็เลยกังวล ลังเล กลัว ขอเวลาครุ่นคิดสักหน่อย หรือไปปรึกษาคนโน้นคนนี้ก่อน แล้วเราก็มักจะหมดเรี่ยวแรงไปกับกระบวนการของการผัดวันประกันพรุ่งพวกนี้ โดยที่เรียกมันว่าเป็นการเตรียมตัวเตรียมใจ
เรายังไม่ทันได้ทำอะไร แต่มักจะเหนื่อยล้าเสียแล้ว และเมื่อเหนื่อยล้า เราก็ต้องไปเติมพลังใจ ด้วยการนั่งลงแล้วก็พร่ำเพ้อถึงสิ่งที่ต้องการ สิ่งที่อยากทำ บอกเล่าความหวัง ความฝันของเรากับเพื่อนสนิท เพื่อให้พวกเขาช่วยกระตุ้นหนุนใจ แล้วก็ไปซื้อหนังสือแนวนี้เล่มอื่นๆ มาอ่านต่อไปแบบไม่รู้จักจบสิ้น
สำหรับคนที่ชอบ หนังสือแนวนี้อ่านสนุก เพราะว่ามันเต็มไปด้วยสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลักการ คำแนะนำ ขั้นตอนวิธี ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เราเองก็รู้ๆ อยู่ เราอ่านเพียงเพื่อเสริมหนุนความคิด ความเชื่อที่มีอยู่เดิม แต่ไม่ได้นำไปสู่การลงมือทำ
และนี่แหละ นี่คือปัญหาของคนที่ชอบอ่านหนังสือแนวนี้ทุกคนในโลก ก็คือเมื่ออ่านจบแล้ว เราไม่ได้นำไปลงมือทำ เมื่อไม่ได้ลงมือทำ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง แล้วทุกอย่างจะวนเวียนกลับมาเป็นวัฏจักรของการไม่ได้ลงมือทำอะไรเสียที
ตัวผมเองก็ตกอยู่ในสภาพนี้ ฝันอยากทำโน่นทำนี่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมคุยกับเพื่อนๆ ว่าอยากจะขยับขยายและพัฒนางานด้านการเขียนของตัวเอง มองหาโอกาสใหม่ๆ ในชีวิตและการงาน อยากเริ่มเขียนนิยาย แปลหนังสือ และหาเวลากับตัวเองในการพัฒนาทักษะ
จนกระทั่งช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผมเริ่มตัดสินใจลงมือทำสิ่งที่แตกต่าง แปลกใหม่ พร้อมกันหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเขียนนิยายออนไลน์ การแปลหนังสือเล่มที่กำลังอยู่ในมือคุณตอนนี้ รวมถึงการเปลี่ยนงานประจำ นอกจากนี้ ก็หันมาใช้เวลากับการพัฒนาตัวเอง พบปะผู้คน ค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ
จนถึงตอนนี้ ผลพวงของการกระทำก็ค่อยๆ สะสม และส่งแรงผลักดันให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงและเดินหน้าไปในทิศทางใหม่ สัญญาณแห่งความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราได้เริ่มต้นลงมือทำสิ่งใหม่
ในโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยทางเลือก เสรีภาพ ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ โอกาส และการแข่งขัน รอบตัวเราเต็มไปด้วยสรรพเสียงเซ็งแซ่ของเพื่อนฝูงมากมาย เพียงแค่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วคว้าโทรศัพท์สมาร์ตโฟนขึ้นมาสไลด์หน้าจอ อัพเดตเรื่องราวของเพื่อนๆ และพร่ำเพ้อเรื่องราวชีวิตตัวเอง แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกล้า หมดพลัง และหมดเวลาไปเกือบทั้งเช้า
ในยุคสมัยเช่นนี้จึงไม่มีอะไรจะทรงพลังไปกว่าการลงมือทำ ไม่ต้องรออ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า เพราะส่วนใหญ่แทบทุกเล่มพูดเรื่องเดียวกัน
ไม่ต้องไปสนใจเรื่องคนอื่นมากนัก และไม่ต้องนั่งพร่ำเพ้อฟูมฟายเรื่องตัวเองให้คนอื่นฟัง
แค่ทำ… ลงมือทำซะ!
ความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น เมื่อเราได้หรี่เสียงของคนอื่น และหรี่เสียงของตัวเองลงด้วย แล้วลงมือทำอะไรบางอย่างที่คิดว่ามีความหมายต่อตัวเอง มีเพียงการกระทำเท่านั้นที่มีพลังมากพอจะผลักดันชีวิตของเราให้มุ่งไปในทิศทางที่เราต้องการจริงๆ
หมายเหตุ* เรียบเรียงจากบทนำของหนังสือ หยุดพูดแล้วลงมือทำซะ! Just Shut Up And Do It! : ไบรอัน เทรซี แปลโดย วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ)