บางทีก็อยากไปนั่งโง่ๆ อยู่ริมทะเลอีกครั้ง
จำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายนั้นมันนานแค่ไหนแล้ว อาจจะตั้งแต่ที่พวกเราเรียนจบกันมาเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พอต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำงาน มีชีวิตของตัวเอง มีเพื่อนใหม่ สังคมใหม่ ความสนใจเปลี่ยนแปลงไปตามภาระหน้าที่ใหม่ๆ
จากสมัยเรียนที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกันเกือบทุกวัน แต่พอเวลาผ่านไป การนัดกินเหล้ากันทุกเย็นวันศุกร์กลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาเราก็ขยับขยายการนัดหมายออกไปเป็นทุกวันศุกร์สิ้นเดือน จนถึงล่าสุด พวกเราขยับขยายตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต แต่งงานมีครอบครัว มีลูก มีภาระหน้าที่อื่นๆ พร้อมกับการขยับขยายนัดหมายออกไปเป็นการพบเจอกันปีละครั้งในช่วงเทศกาลปีใหม่
นึกถึงวันคืนเก่าๆ ก็รู้สึกขำดีเหมือนกัน แก็งเราสมัยนั้นชอบไปเที่ยวเกาะเสม็ด ผืนทรายตอนนั้นยังเป็นสีขาวโพลน เม็ดทรายละเอียดจนเหยียบเท้าจมลงไปแล้วมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด คนหนึ่งสะพายกีตาร์ คนหนึ่งถือเหล้าและโซดา คนอื่นๆ แบกถังน้ำดื่มบ้าง ถุงขนมนมเนยบ้าง และที่ขาดไม่ได้คือหนังสือเพลงปึกใหญ่ พากันเดินฝ่าเปลวแดดตระเวนไปตามหน้าหาดต่างๆ เพื่อหาที่พักราคาถูกที่สุด ก่อนที่จะตัดสินใจเช่าเต็นท์สองหลังมาไว้เก็บข้าวของ อาบน้ำจืดครั้งละสามบาทห้าบาท แล้วเอากระดาษหนังสือพิมพ์มาปูนั่งๆ นอนๆ บนชายหาดนั่นแหละ
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันสนุกตรงไหน การนั่งล้อมวงรอบขวดเหล้าไทยราคาถูกและกองหนังสือเพลงเก่าคร่ำคร่า ปล่อยให้ลมทะเลตีหน้าไปเรื่อยๆ ผลัดกันบรรเลงกีตาร์และแหกปากร้องเพลงไป ใครเมาก่อนก็ผล็อยหลับไปเหมือนฟิวส์ขาด รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตะวันสายโด่ง มีหมาจรจัดมานอนกองอยู่ข้างๆ
แบบนี้ใช่ไหมที่เรียกว่าการ ‘ไปนั่งโง่ๆ อยู่ริมทะเล’ ซึ่งในวัยวันแบบนั้นมันช่างสลักสำคัญและยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับพวกเรา
ตกดึกบรรยากาศริมหาดเงียบสงัด เหลือแต่วงเหล้าของพวกเราที่ยังส่งเสียงครึกครื้น แหม่มสาวสองคนเดินมาขอนั่งร่วมวง เพื่อนคนหนึ่งรีบวิ่งไปขอแก้วจากร้านอาหาร จัดแจงชงเหล้าหนาๆ แบบไม่กลัวเปลืองส่งให้ บทเพลง จิ๊กโก๋อกหัก บรรเลงไป โดยสองสาวแปลกหน้าฟังไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นผมเพิ่งหัดเล่นกีตาร์ได้แบบงูๆ ปลาๆ รีบคว้ามาขอเล่นบ้าง เพียงแค่สี่คอร์ดพื้นฐาน ใส่ 7 เข้าไปหน่อย แล้วก็เกาสายวนๆ ไป ก็กลายเป็นเพลง Something ของวง System 4
‘Something in your eyes that sparkle in your smile, girl.’
เธอยิ้มกว้างและส่งสายตากลับมาเป็นประกายเหมือนในเนื้อเพลง เพื่อนๆ ส่งเสียงโห่ฮาแซวกันสนุกปาก จนผมเขินอายร้องเพลงต่อไปไม่ไหว เราพูดคุยเฮฮากันอีกพักใหญ่ พวกเธอก็ขอตัวเดินจากไป เรามองตามไปจนลับสายตา เพื่อนหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง เหี้ยเอ้ย ทำไมมึงไม่เล่นให้จบเพลงวะ!
พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวัยเยาว์ คือการที่พวกเราไม่มีอะไรจะเสีย อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากไปไหนก็ไป อยากจะรักใครก็รัก ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่มีภาระรับผิดชอบ สิ่งที่เจ๋งมากๆ ในตอนนั้นคือเราไม่ต้องมีเป้าหมาย โลกของเราพร้อมพรั่ง มั่นคง และมีที่ทางเปิดรอไว้ให้อยู่แล้ว ชีวิตวัยรุ่นตอนนั้นจึงไม่ต้องคิดอะไรมาก นอกจากการเรียนให้จบเท่านั้น
เรื่องเพลง Something กับแหม่มสาวสองคนบนเกาะเสม็ด เป็นความทรงจำสีจาง เลือนราง นานๆ ครั้งที่มันจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาแบบตลกโปกฮา ตอนที่เรานัดเจอกันตอนวันสิ้นปี ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ไม่มีแม้กระทั่งภาพถ่าย การจดบันทึก สเตตัส หรือโลเคชันเช็กอิน ความทรงจำในวัยหนุ่มของพวกเราช่างไร้สาระ ไม่สลักสำคัญอะไร ในยุคสมัยของเรา เราไม่เคยสรุปบทเรียนชีวิต หรือคิดค้นหลักปรัชญาสอนใจอะไรในระหว่างการเดินทาง
จะว่าไปแล้ว มันเป็นยุคสมัยที่ล่องลอยมากๆ เลย ผมอายุปูนนี้แล้วบางทีก็ยังสับสนว่าชีวิตคืออะไร เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กในยุคนี้ ที่ทุกคนดูเหมือนว่าจะเข้าใจชีวิตกันได้เร็วมาก ทุกคนมีเป้าหมาย พวกเขาออกเดินทาง แล้วบอกเล่าเรื่องราวความสำเร็จ และแสดงภาพลักษณ์แห่งความสุข
ในโซเชียลมีเดียมักจะมีภาพของการงานที่ใหญ่โต การพบปะกับคนโด่งดัง การท่องเที่ยวไกลๆ นี่เป็นจิตวิญญาณของยุคสมัย และมันยิ่งทำให้คอนเทนต์แนวเรื่องเล่าแห่งความสำเร็จ และแนวคิดสำเร็จรูปแบบหนังสือฮาวทู คำคมสอนใจ ปรัชญาจากการเดินทาง ฯลฯ ถูกผลิตซ้ำออกมาและเผยแพร่กันมากขึ้น ทำให้ทุกคนคิดไปว่าคนอื่นทุกคนรู้แล้ว ทุกคนกำลังประสบความสำเร็จ และมีความสุขอยู่
ในทางตรงกันข้าม ในโซเชียลมีเดียเรามักจะเห็นพวกเขาโพสต์ลอยๆ ถึงความเหนื่อยล้า เจ็บป่วย บางคนโพสต์ภาพโรงพยาบาลเพื่อเป็นนัยๆ บางคนโพสต์ธรรมะว่าทำใจ ปล่อยวาง เพื่อเป็นการออกตัวกับเพื่อนคนอื่นว่าสาเหตุที่ตอนนี้พวกเขายังไม่มีผลงานอะไรออกมา ยังไม่สำเร็จ ไม่มีความสุขนั้น เป็นเพราะความเจ็บป่วยหรือพวกเขากำลังทำใจสบายๆ อยู่
ถ้าเปิดเข้าไปในเว็บบอร์ดพันทิปดอตคอม เรามักจะได้เจอกระทู้ประเภทที่ว่า ‘อายุจะสามสิบแล้ว ได้เงินเดือนห้าหมื่นกว่าๆ น้อยเกินไปไหม?’ ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารที่เร็วเกินไป มากเกินไป ทำให้โลกและผู้คนรอบตัวลวงตา ลึกๆ เข้าไปข้างในของเราส่วนใหญ่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่ มันไม่จริง
ทุกครั้งที่หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสไลด์หน้าจอ จะไม่มีใครยอมอยู่ในวัยเยาว์อีกต่อไป เพราะทุกคนคิดเหมือนกันว่าเมื่ออายุสามสิบ จะต้องมีเงินเดือนมากกว่าห้าหมื่น ชีวิตของเราเหมือนกับเอาตัวตนเสมือนมาครอบกำกับไว้ และห่างไกลจากความจริงไปเรื่อยๆ
มันไม่ใช่ยุคสมัยของการไปนั่งโง่ๆ อยู่ริมทะเลอีกแล้ว