ในเช้าวันอาทิตย์ที่สดใสวันหนึ่ง ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวว่าตำรวจจับตัวฆาตกรฆ่าหั่นศพได้แล้ว หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนกับทุกครั้ง ที่พอว่างนิดๆ หน่อยๆ หรือในวันหยุดพักผ่อน และคิดว่าเราจะได้ไปทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย ที่อยากจะทำแต่ไม่ได้ทำในวันทำงาน แต่พอได้เริ่มต้นสไลด์หน้าจอมือถือเมื่อไหร่ กลายเป็นว่าจะต้องติดอยู่ข้างในนั้นอย่างไม่อาจถอนตัว
เริ่มด้วยการเปิดอ่านเนื้อหาข่าวร้ายๆ ไปสักพัก สายตาก็จะค่อยๆ เลื่อนลงสู่ที่ต่ำ ลองอ่านความคิดเห็นที่เข้ามามากมายจากคนอื่น เกิดความอยากรู้ขึ้นมาว่าพวกเขาคิดกันอย่างไร แล้วอีกสักพัก ก็มักจะมีนักสืบออนไลน์มากมายมาช่วยกันขุดเบาะแสข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข่าวนั้นๆ แล้วก็มาช่วยกันโพสต์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัว เพจเฟซบุ๊กส่วนตัวของฆาตกรและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารให้กับผู้ใช้คนอื่นๆ
แล้วด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่ไม่อาจต้านทานในใจเราเอง ทำให้พลั้งนิ้วกดลิงก์เข้าไปดูเฟซบุ๊กส่วนตัวเหล่านั้น มันเปรียบเหมือนหลุมดำที่มีแรงดึงดูดมหาศาล ดูดเอาทุกสิ่งทุกอย่างของเราทุกคนเข้าไปกองรวมกันอยู่ในนั้น แล้วในที่สุดก็ต้องมาตกอยู่ในความรู้สึกผิดลึกๆ เพราะพอรู้ตัวอีกทีก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวัน รู้สึกเหมือนเพิ่งเดินทางผ่านรูหนอนหรืออุโมงค์เวลา หมดเช้าวันอาทิตย์ไป พร้อมกับจิตใจที่หดหู่เศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก
เราทุกคนต่างก็ถูกดึงดูดเข้ามาที่นี่เหมือนกัน ด้วยข้อมูลข่าวสารบางอย่างที่มันน่ารู้เสียเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เราก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่จำเป็นต้องรู้มันก็ได้ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากไปกว่าแค่ได้รู้ แค่นั้นเอง แต่เราต้องการเสพมัน เพื่อกระตุ้นให้เราเกิดอารมณ์โกรธแค้นชิงชัง เหมือนเป็นมหรสพทางอารมณ์ แล้วในเวลาเดียวกัน ก็ระบายอารมณ์นั้นออกมา กลายเป็นคำด่าทอสาปแช่งต่างๆ นานา
สามสี่ชั่วโมงของผมคนเดียว ในเช้าวันอาทิตย์นั้นวันเดียว แค่นี้ก็รู้สึกว่ามันเปล่าประโยชน์มากแล้ว ยังไม่นับถึงเวลาของผู้คนอีกนับหมื่นนับแสน ที่บางคนใช้เวลาแบบข้ามวันข้ามคืนกับการติดตามข่าวสะเทือนขวัญข่าวนั้นข่าวเดียว รวมกันแล้วมันอาจจะนานเป็นสิบๆ ปี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเราถึงรู้สึกว่าไม่มีเวลา ทำไมชีวิตถึงได้ยุ่งวุ่นวายและเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา เพราะเราใช้เวลาอยู่กับข่าวร้ายพวกนี้มากเกินไปโดยไม่ทันรู้ตัว แทนที่จะเอาเวลาเหล่านั้นไปทำประโยชน์อะไรอย่างอื่นที่สร้างสรรค์กว่า
เพราะจริงๆ แล้วข่าวพวกนี้ไม่ได้พาความคิดของเราและสังคมของเราไปไหนไกล แต่พาเราเดินวนอยู่กับโครงเรื่องของคนดี-คนเลว อาชญากรรม-การลงโทษ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากไปกว่าการสอนใจ และตอกย้ำเรื่องบาปบุญคุณโทษที่เรารู้ๆ กันอยู่แล้ว แต่มันกลับสามารถพาอารมณ์ของเราไปได้ไกลกว่า ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกวันนี้เราถึงได้โกรธเกรี้ยวฉุนเฉียวมากขึ้น
ข่าวร้ายพวกนี้เสพติดได้ ถ้าเราใช้เวลากับมันมากเกินไป เพราะมันกระตุ้นอารมณ์ให้เราโกรธคนอื่น และเปิดให้เราแสดงออกความเห็นเรื่องคุณธรรมความดีของตัวเรา กลายเป็นวงจรของความโกรธและความดี พวกเราเสพข่าวมากไป เสียเวลาเกินไป โกรธกันมากไป ผมสังเกตว่า ในโซเชียลมีเดีย คนดีจึงมักโกรธ ยิ่งดีก็ยิ่งโกรธ วนเวียนอยู่แบบนั้น
ข้อความหยาบคายสกปรกอย่างที่ไม่เคยคิดจินตนาการไปถึง เมื่อได้อ่านหรือเขียน มันก็สร้างความรู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ ความสะใจคือความบันเทิงจากความเกลียดชัง เป็นความดีใจที่ได้เห็นสิ่งที่เราเกลียดชังถูกทำให้เสื่อมลง มันก็กลายเป็นวงจรของความเกลียดชังและความบันเทิง ยิ่งเกลียดก็ยิ่งบันเทิง วนเวียนอยู่แบบนั้น
การปิดหน้าจอกลายเป็นสิ่งที่ยาก เราจะคอยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาสไลด์ดูเป็นพักๆ อย่างไม่อาจหักห้ามใจ และผมคิดว่าพวกเราใช้เวลามากเกินไปกับเนื้อหาพวกนี้ ไม่ใช่เฉพาะกับแค่ข่าวฆาตกรรมสะเทือนขวัญเท่านั้น แต่ยังรวมถึงข่าวสารพัดสารเพที่ทำให้เราโกรธ เรื่องชาวบ้านที่บางทีก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา หรือบางทีเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรา แต่มันอาจจะไม่ต้องโกรธขนาดนั้นก็ได้หรือเปล่า?
ไม่มีอะไรจะย้อนแย้งไปกว่าการมีเวลามาโพสต์บ่นในโซเชียลมีเดียว่าตัวเองไม่มีเวลา และไม่มีอะไรจะย้อนแย้งไปกว่าการแสดงออกถึงความดีด้วยการด่าหยาบคายในโซเชียลมีเดีย มันกำลังเป็นโรคระบาดที่คนในยุคปัจจุบันจะรู้สึกว่าเร่งรีบและร้อนแรงมากขึ้น