หน้ากากเสือ

วุฒิชัย กฤษณะประกรกิจ | ‘หน้ากากเสือ’ เรื่องเล่าถึงแมวตัวใหม่ที่สะท้อนให้เห็นความต้องการภายในตัวของเรา

เราเรียกมันว่าหน้ากากเสือ

มันคือแมวจรจัดที่มาเพ่นพ่านอยู่ในหมู่บ้านนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่เคยสังเกต แต่เราเพิ่งเห็นมันมาปักหลักอยู่แถวหน้าบ้านเราเมื่อสองสามเดือนที่ผ่านมานี้เอง

ไปๆ มาๆ ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าบ้านเราเลี้ยงแมวสามตัวเข้าไปแล้ว เริ่มต้นจากจิ๋วหลิวที่เราเลี้ยงไว้ตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน มันจะถูกเลี้ยงอยู่แต่ในบ้านแบบระบบปิด ไม่ปล่อยออกไปนอกบ้าน มีชามน้ำชามข้าวและกระบะทรายประจำให้ไว้

     อีกตัวคือแมวจรที่ผมเคยเขียนถึงในบทบรรณาธิการตอนหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว มันชอบมาวนเวียนอยู่หน้าบ้าน ร้องเรียกเบาๆ พร้อมด้วยสายตาอันเว้าวอน ก่อนที่จะล้มตัวลงกลิ้งเกลือก นอนยกแขนขาและโชว์พุงล่อหลอกให้เราลูบเล่น มันเชื่องและอ้อนมากเหมือนเคยเป็นแมวบ้านมาก่อน

     เรานึกเอ็นดูก็เลยแบ่งอาหารเม็ดของจิ๋วหลิวให้มันกิน จนตลอดปีที่ผ่านมา ทุกวันมันจะแวะมาขอข้าวกินที่หน้าบ้านเราสองรอบเช้าและเย็น เราจะเทให้มันไว้ภายในบริเวณรั้วบ้าน พอกินเสร็จมันก็จะนอนกลิ้งเกลือก เดินเล่นไปมาในบริเวณรั้วบ้านเราสักพัก จนพอใจก็จะเดินออกไปเตร็ดเตร่ต่อตามประสาแมว

     แปลกดีที่จนถึงวันนี้ เรายังไม่เคยตั้งชื่อให้กับมันเลย คงเพราะไม่อยากรู้สึกผูกพัน ไม่อยากทำให้มันกลายเป็นหน้าที่รับผิดชอบแบบเต็มตัว 

     ส่วนเจ้าหน้ากากเสือเพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อสองสามเดือนก่อนในค่ำคืนหนึ่งหลังฤดูฝนเพิ่งผ่านไป เสียงแมวนอกบ้านร้องหง่าวแข่งกันจนดังไปสามบ้านแปดบ้าน สักพักก็ตามมาด้วยเสียงแมวฟัดกันอุตลุด เรารีบเปิดประตูออกไป เห็นแมวจรนอกบ้านวิ่งพรวดเข้ามาในรั้ว พอมองออกไปข้างนอก หน้ากากเสือก็ยืนจังก้า ตะโกนร้องเรียกท้าทาย

     มันเป็นแมวตัวผู้ตัวใหญ่ยังไม่ได้ทำหมัน ไข่สองลูกขนาดมหึมาอยู่ใต้หางหงิกงอกุดด้วน หัวโต หน้าบานใหญ่ ไหล่กว้าง แต่ลำตัวผอมบางเหี่ยวแห้งดูไม่สมสัดส่วน เนื้อตัวสกปรกมอมแมม เราเดินออกไปหน้ารั้วบ้านตะโกนไล่มันไป… ชิ่วๆ มันยืนปักหลักแยกเขี้ยวใส่และส่งเสียงขู่… แฟร่ๆ แบบไม่มีความเกรงกลัว แมวจรหน้าบ้านเดินมาแอบอยู่ข้างหลังขาเรา ร้องหง่าวใส่มันแบบกล้าๆ กลัวๆ ด้วยขนาดตัวของมันเล็กกว่ากันเยอะ

     แล้วความขัดแย้งสิ้นสุดลง เมื่อผมหยิบสายยางมาฉีดน้ำไล่เจ้าหน้ากากเสือ มันวิ่งหนีหายไปในความมืด

     หน้ากากเสือมันไปรึยัง—ภรรยาถาม เธอเป็นคนเริ่มเรียกมันด้วยชื่อนี้

     มันชื่อหน้ากากเสือเหรอ—ผมถาม

     พรุ่งนี้เราเอาชามข้าวไปให้มันที่นอกรั้วบ้านก็แล้วกัน—เธอบอก

     หลังจากคืนนั้นมา สมรภูมิย่อมๆ ก็เกิดขึ้นซ้ำซากที่หน้าบ้าน เพราะแมวจรชอบออกไปเดินเตร็ดเตร่ระหว่างวัน พอหิวก็จะกลับมากินข้าวที่บ้านเรา มันจะโดนเจ้าหน้ากากเสือมาดักรออยู่หน้ารั้วบ้าน

     พอสองสามทุ่มก็จะได้ยินเสียงแมวสองตัวร้องแหง่วหง่าวเขม่นกัน แล้วก็จบลงด้วยแมวจรวิ่งพรวดเข้ารั้วบ้านมา ผมเดินออกไปหยิบสายยางฉีดน้ำ เจ้าหน้ากากเสือจดจำสายยางนี้ได้ พอแค่เห็นเท่านั้น มันก็ยอมสงบลง ผมจึงค่อยเทข้าวให้แมวจรกินภายในรั้วบ้าน เสร็จแล้วก็ออกไปนอกรั้วเพื่อเทข้าวให้เจ้าหน้ากากเสือ มันยังอุตส่าห์แยกเขี้ยวขู่แฟร่ๆ แม้ตอนที่ผมกำลังเทอาหารเม็ดใส่ชามของมัน

     เสร็จสิ้นภารกิจอันแสนวุ่นวายประจำวัน ผมก็กลับเข้าบ้าน จิ๋วหลิวมองลอดกระจกออกไปดูเหตุการณ์ภายนอก ขนหางและกลางหลังชี้ฟูด้วยความตื่นเต้น

 

     เห็นคนข้างบ้านคุยกันว่าจะเอาเทศบาลมาจับมัน—เธอบอก

     แมวจรจัดรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ขี้หูขี้ตาเกรอะกรัง ใบหูแหว่งวิ่น ไม่มีใครรู้ว่ามันเคยผ่านอะไรมาในชีวิต จึงทำให้มีนิสัยดุร้ายและชอบขู่ตลอดเวลา สิ่งที่รู้แน่ๆ ก็คือมันอดอยากและมีชีวิตยากลำบากอยู่ข้างถนน ยิ่งมันดุร้าย ชาวบ้านชาวช่องก็ยิ่งรำคาญและรังเกียจ ก็ยิ่งทำให้มันต้องอดอยากและมีชีวิตยากลำบาก เป็นเช่นนี้วนเวียนไป

     ทุกวันที่ออกไปเทข้าวให้มันตรงนอกรั้วบ้าน มันก็ยังขู่แฟร่ๆ ใส่ผมทุกครั้ง ถ้าพอมีเวลาว่าง ผมจะยืนดูมันกินข้าวด้วยความเอร็ดอร่อย ผมชอบเงี่ยหูฟังเสียงคำรามในคอตลอดเวลาที่เคี้ยวกลืน

     พอกินอิ่ม มันเอาหัวมาซุกไซ้กับเท้าของผม กรนเสียงดังครืดคราดสนั่นหวั่นไหว ล้มตัวลงนอนทับเท้าของผม เกลือกกลิ้งไปมา แล้วหงายท้องสี่ตีนชี้ฟ้า เป็นสัญญาณเชิญชวนให้มาเล่นด้วยกัน จากหน้ามือเป็นหลังมือ แววตาเหี้ยมเกรียมกลับแปรเปลี่ยนเป็นแววตาเว้าวอน

     แมวทุกตัวล้วนเป็นเหมือนกัน สิ่งที่ต้องการที่สุดก็คือมุมเล็กๆ แคบๆ ให้มันนอนหงายท้องได้อย่างสบายใจ ปลอดภัย และมีใครสักคนมาอยู่คลอเคลียด้วย

     แต่คืนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะเล่นด้วย จึงชักเท้ากลับออกมา

     อย่าไปไหน—มันคำราม

     กางเล็บและยื่นมือทั้งสองมาตะปบคว้า ขบเขี้ยวลงบนน่องเพื่อเล่นฟัดกันแบบแมวๆ จากหลังมือกลับมาเป็นหน้ามืออีกครั้ง มันยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ผมยังอยู่ต่อไป

     เราทุกคนล้วนเป็นเหมือนกัน เพื่อสิ่งที่ต้องการ เราหน้ามืดตามัวและยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด และไม่ว่าจะต้องทำร้ายกันแค่ไหน แล้วในที่สุด ยิ่งโหยหากัน เรากลับยิ่งห่างไกลกันออกไป ออกไป

     ผมร้องโอ๊ยดังลั่น ทำให้มันสะดุ้งตกใจ แล้ววิ่งหนีหายเข้าไปในความมืด จู่ๆ ก็ทำให้นึกรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ แต่จะทำอย่างไรได้ ช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่อมีแมวตัวหนึ่งอยู่ในบ้าน แมวอีกตัวหนึ่งอยู่หน้าบ้าน และมีแมวตัวใหม่มาเพ่นพ่าน

     ไม่มีใครรู้ว่ามันเคยผ่านอะไรมาในชีวิตจึงทำให้มีนิสัยดุร้ายและชอบขู่ตลอดเวลา แต่ที่รู้ก็คือผมมองเห็นตัวเองภายในมัน ผมเห็นตัวเองในแมวจรที่หน้าบ้าน และเห็นตัวเองในแมวจิ๋วหลิวของเรา

     ความดุร้าย ความขลาดกลัว ความโหยหา ไม่ว่าจะถูกเรียกนามว่าอะไร เราต่างมีมันอยู่ภายในเหมือนกันทุกคน