จะยอมใกล้กันที่สุดไหม หากต้องไกลกันในวันถัดไป…?
เรื่องราวของ Celine และ Jesse ในหนัง Before Sunrise (1995) ที่พบกันบนรถไฟในขบวนที่เขาและเธอต่างมีจุดหมายปลายทางให้ต้องเดินทางต่อไป หากมันคือความรู้สึกบางอย่างระหว่างสองที่นั่งฝั่งตรงข้าม หรืออาจเป็นความเขลาของวัยเยาว์ ที่ทำให้ Jesse กล้าพอที่จะเอ่ยปากชวน Celine ให้ลงที่สถานีต่อไปด้วยกัน และมันอาจเป็นความเพ้อฝันของวัยหนุ่มสาวที่มีต่อความเป็นไปได้ของชีวิตที่ทำให้ Celine บ้าพอจะตกลงปลงใจไปกับเขา เพื่อจะใช้เวลาหนึ่งคืนที่มีทั้งหมดทั้งมวลนั้น เดินท่องไปในถนนที่ไม่มีใครรู้จักเขาและเธอ ไม่มีจุดหมาย ไม่มีเหตุผลใดๆทั้งนั้น นอกจากความปรารถนาที่จะมีบทสนทนาร่วมกัน…
แม้ทั้งเขาและเธอต่างรู้ดีว่า เมื่อความใกล้ชิดถูกสร้างให้เกิดขึ้นผ่านบทสนทนานั้นแล้ว ชีวิตก็จะผลักทั้งเขาและเธอให้ต้องห่างกันออกไป
คาริล ยิบราน กล่าวถึงปรัชญาความรัก ไว้ในหนังสือ ‘ปรัชญาชีวิต’ ว่า “เมื่อความรักโบกมือเรียก คุณจงตามเขาไป แม้ว่าเส้นทางจะยากลำบากและสูงชัน… และเมื่อเขากางปีกเพื่อโอบกอด ขอคุณจงยอมโอนอ่อนตาม แม้ว่าคมดาบที่ซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะทำร้ายคุณ และเมื่อเขาพูดกับคุณ—จงเชื่อ แม้ว่าสุ้มเสียงนั้นจะทำให้ความฝันแตกสลาย”
ถ้อยคำล้ำลึก จากปราชญ์ของโลกอาจทำให้ใจหาญกล้า กระโดดลงหลุมที่จักรวาลขุดไว้ลึกรอให้นักเดินทางเร่ร่อนที่บอกโลกว่าเป็นอิสระจากพันธะแห่งความรัก หากเมื่อความรักเดินเข้ามาหาแล้วทั้งเขาและเธอกลับศิโรราบปล่อยให้มันตะครุบเข้าฉับพลัน… หากเมื่อทิ้งดิ่งลงไปในหลุมแล้ว ยิ่งมองไม่เห็นปลายทางของหลุมที่ตกลงไป… แรงดึงดูดที่ทำให้ท้องวาบหวิวชั่วขณะตกลงไปเริ่มกลายเป็นความกลัว คุณยังจะกล้าทิ้งตัวลงไปด้วยความหวังว่ามันมีทางออกอยู่ปลายทางหรือไม่ หรือรีบหมุนตัวกลับขึ้นมาที่ปากอุโมงค์ด้วยความกลัวต่อใดๆ ก็ตามที่อาจอยู่ข้างล่าง—หรือความว่างเปล่า ณ ปลายทางนั้น
“ราวกับว่านี่คือโลกแห่งความฝันที่เราอยู่… ราวกับว่าฉันอยู่ในฝันของเธอ และเธอในฝันของฉัน”
ความวาบหวาม ความน่าตื่นเต้น ของความสัมพันธ์ระหว่างทางที่ไม่คาดฝัน ทำให้ Jesse บอกกับ Celine ว่าการได้เจอกันนั้นราวกับความฝัน— ความฝันที่ทั้งสองรู้กันว่าชีวิตจะปลุกให้ตื่นในเช้าวันต่อไป แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น ทั้งคู่ก็เลือกที่จะจมดิ่งในฝันให้นานที่สุด นานต่ออีกนิด นานจนกว่าความจริงจะกระชากความฝันและปลุกให้ตื่น สะลึมสะลืองัวเงียค้างเติ่งจนอาจสงสัยว่าความฝันนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรือเป็นอีกเพียงฝันหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วผ่านไป
“คุณไม่ต้องรักความสัมพันธ์หรอก, คุณต้องรักชีวิต”
ความรักต่อชีวิตนั่นไง ที่ทำให้พวกเขาออกเดินทางกันตั้งแต่แรก ที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจทำในสิ่งที่ไร้เหตุผลอย่างการเดินตามคนแปลกหน้าไปเพียงเพราะความรู้สึกบางอย่างที่บอกว่าใช่ ที่ทำให้พวกเขาเปิดใจผ่านบทสนทนาที่มีต่อคนแปลกหน้าอย่างหมดใจ ที่ทำให้เขายอมศิโรราบกับความ (ไม่) บังเอิญของชีวิต และเพียงแค่ปล่อยใจไหลไปในแรงดึงดูดของจักรวาล
“เคยคิดว่าในชีวิตจะมีใครหลายคนที่เรารู้สึกเข้ากันได้ แต่ยิ่งเติบโต ยิ่งรู้ว่า ความสัมพันธ์ที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครา”
Jesse บอก Celine ไปแบบนั้นก่อนที่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น ก่อนรถไฟจะออกจากชานชาลา ก่อนพวกเขาจะรู้ว่าบทสนทนาที่พวกเขามีต่อกันตลอดทั้งคืนนั้นได้สร้างความสัมพันธ์ไม่ใช่แค่กับคนแปลกหน้าอย่างเขาทั้งสอง แต่มันยังสร้างความสัมพันธ์ในใจพวกเขาเอง—ความสัมพันธ์กับตัวเอง ที่ได้ยินชัดขึ้นเมื่อเปล่งเสียงออกมาผ่านบทสนทนา ความสัมพันธ์กับตัวเองให้เชื่อในสัญชาตญาน รวบรวมความกล้าตามเสียงข้างในใจไป จมดิ่งไปในกาลเวลาของปัจจุบัน… ปลดแอกจากพันธนาการความสัมพันธ์ในอดีต และความกังวลต่ออนาคต… ณ ชั่วเวลาขณะนั้น ณ เมืองต่างถิ่นนั้น ความสัมพันธ์เคว้างคว้าง ที่ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยวเกาะโยง นอกจากความรู้สึกรุนแรงบางอย่างที่คนแปลกหน้าทั้งสองมีต่อกัน ที่เหนี่ยวรั้งพวกเขาเอาไว้—ก่อนจะผลักพวกเขาออกจากกัน
จะยอมใกล้กันที่สุดไหม หากต้องไกลกันในวันถัดไป…?
หรือสุดท้ายแล้ว ไม่ใช่คุณด้วยซ้ำที่ตัดสินใจว่าจะหย่อนตัวลงไปในหุบเหวนั่นหรือไม่ ในวันที่ความรักเข้ามาทักทาย