ฤดูกาล

ความรับรู้ที่ลดลง ตัวตนที่แปลกแยกไป เมื่อเราใช้ชีวิตอย่างไร้ฤดูกาล

ได้ยินเพลงบอกไว้ลมหนาวมาถึงเมื่อไร มันต้องเหงาในใจตามเนื้อเพลงอยู่เรื่อยไป…

เพลงประจำฤดูหนาว ที่ในยุคหนึ่ง เมื่อลมพัดมา อากาศเริ่มเย็นลงเข้าหน่อย จะต้องมีเพลงเกี่ยวกับฤดูกาลออกมาให้คลอตามบรรยากาศอยู่เนืองๆ ลมฟ้าอากาศแต่ละฤดูกาลเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินแต่งเพลง และส่งผลต่อห้วงอารมณ์ความรักที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร อากาศก็ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเราไม่ต่างกัน ว่าแต่ว่า เพลงใหม่ๆ ประจำฤดูหนาวหายไปไหน? ศิลปินเลิกแต่งเพลงแล้ว? หรือเราไม่มีฤดูหนาวมานานแล้ว? และการใช้ชีวิตอย่างไร้ฤดูกาลนี้ส่งผลต่อเราอย่างไร?

     บทส่งท้ายของหนังสือ Men are from Mars, Women are from Venus ว่าด้วย ฤดูกาลแห่งความรัก (Seasons of Love) หรือจะพูดให้ถูกตามเนื้อหาที่ว่าไว้คือ ความรักนั้นเป็นดั่งฤดูกาล ในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้นอากาศแจ่มใส ฟ้าเปิด ราวกับช่วงตกหลุมรักใหม่ๆ ที่อะไรๆ ก็ดูเป็นใจ ครั้นย่างเข้าฤดูร้อน แสงแดดเริ่มจ้า แผดเผา อบอ้าว ราวกับความรักที่เริ่มปล่อยตัวตนกันออกมา ต้องใช้ความอดทนในการข้ามผ่านความร้อนแรงของฤดูกาลนี้ไป หากในยามที่ฤดูใบไม้ร่วงมาถึง อากาศเริ่มกลับมาอบอุ่นใหม่ บรรยากาศของการเฉลิมฉลอง อิ่มเอม เติมเต็มกับผลผลิตที่เก็บเกี่ยวจากความอดทน ทำงานหนักในช่วงฤดูร้อนและในช่วงฤดูหนาว เมื่อสีสันทุกอย่างผ่านไป (winter) ชีวิตทั้งหลายก็พากันพักผ่อนจากทุกฤดูกาลที่ผ่านมา ช่วงเวลาจำศีล หลบหลีกจากความวุ่นวาย เพื่อกลับมาสู่ความสงบใจภายในตัวเอง

 

     แล้วจะเป็นอย่างไรเล่าหากเราไร้ฤดูกาล?

 

     หรือมันอาจจะง่ายกว่านี้ด้วยซ้ำไป หากโลกไร้การเปลี่ยนแปลง?

 

     เปล่าเลย, ในขณะที่มันง่าย แต่มันคือความเปลี่ยนแปลงต่างหากที่ทำให้คุณค่าของสิ่งที่เป็นในแต่ละชั่วขณะปรากฏชัดขึ้นในความหมาย แม้ฤดูใบไม้ผลิ จะเป็นช่วงเวลาเบิกบาน แต่นั่นเป็นผลจากความทึมเทา เปล่าเปลี่ยวของฤดูหนาวต่างหากที่ทำให้เราเห็นความงามของสีสันใบไม้ที่กำลังผลิใบได้ชัดเจน และแม้ช่วงฤดูใบไม้ร่วง จะเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลอง ดอกไม้ผลัดใบเป็นสีส้ม สีทอง หากการฉลองนั้นจะมีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราผ่านช่วงเวลาตรากตรำทำงาน อดทนกับแดดจ้า ในฤดูร้อนที่ผ่านมา มันคือการผ่านช่วงฤดูกาล จนเห็นคุณค่าของความอดทนในฤดูร้อน เข้าใจในฤดูหนาว และบอกตัวเองได้ว่า ไม่ว่าจะหนาวเหน็บแค่ไหน ดอกไม้จะผลิใบในอีกฤดูกาลต่อมา

     เพราะการรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในฤดูกาล เราจึงไม่ตำหนิฤดูหนาว หากขอบคุณที่ทำให้เราต่างทำงานหนักขึ้นในฤดูร้อน ไม่ตะครุบกินผลผลิตทั้งหมดที่ได้มาในช่วงเฉลิมฉลองประจำฤดูใบไม้ร่วง (Thanksgiving) ไปเสียก่อน และเห็นคุณค่าของวันพักผ่อนในฤดูหนาว ชื่นชมกับความสดใสในวันที่ฤดูใบไม้ผลิกลับมา แบบนี้วนเรื่อยไป

     การขาดแคลนฤดูกาลจึงตามมาด้วยการสูญเสียความสามารถในการปรับตัว ในการชื่นชมยินดีกับความเปลี่ยนแปลง และความสามารถในการรับรู้ เมื่อเรากลายเป็นมนุษย์จำพวกที่เคยชินกับการกักขังตนไว้ในกล่องสี่เหลี่ยมที่มีอุณหภูมิควบคุมได้ ร้อนเมื่อไหร่ปรับให้เย็นเมื่อนั้น แม้อากาศข้างนอกจะสวนทางกันอย่างไรก็ตาม

 

     การไร้ฤดูกาล ทำให้เราเสียความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะภายนอก แต่ก็เป็นการแปลกแยกตัวเราเองจากสภาพแวดล้อมรอบตัวอีกเช่นกันที่ทำให้ความรู้สึกแปลกแยกนั้นมากไปกว่าเคย เมื่อสภาวะภายในและภายนอก ไม่เชื่อมต่อกัน เมื่อการควบคุมเกิดขึ้นในพื้นที่จำกัด และสูญเสียความควบคุมทันทีเมื่อก้าวออกจากพื้นที่สี่เหลี่ยมของเรา และเมื่อเป็นเช่นนั้นบ่อยๆ ทุกครั้งที่เราถูกโยนออกสู่ภายนอก เราต่างดิ้นรนหาทางกลับสู่กล่องสี่เหลี่ยมที่ถูกควบคุมในอุณหภูมิแช่แข็งที่เราเคยชินเพียงเพื่อจะรู้สึกแปลกแยก ปรับตัวไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นกว่าเคย