ความจริง

Love Actually | ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ในความสัมพันธ์ การยอมรับความจริงจะช่วยให้เรารอด

ยามนั้น ฉันยังเด็กนัก เพิ่งเข้าสู่วงการวัยรุ่นรู้จักรัก และแน่นอน ส่วนใหญ่แล้วเรามักถูกรับน้องด้วยความผิดหวัง ฉันร้องไห้คร่ำครวญกับพี่สาวร่วมงานผู้สนิทชิดเชื้อ เล่าถึงความสัมพันธ์ซ้อนทับ เขาเลือกคลุมเครือกับฉัน แต่ชัดเจนกับอีกฝ่าย ฉันพยายามหาข้อแก้ตัวให้ความสัมพันธ์ที่ไม่พอดีนี้ พี่สาวบอกฉันแค่ว่าเรื่องแบบนี้ “ใช้หัวแม่โป้งตีนคิดก็ยังคิดได้”

     หากนี่เป็นคำแนะนำ ก็เป็นคำแนะนำที่แรงกระแทกหน้าที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับ

     ฉันไม่เคืองพี่สาวเลย กลับกัน คำของเธอทำให้ฉันรีบเช็ดน้ำตาตัวเอง และหากฉันในวัยนี้ย้อนเวลาไปหาฉันในวัยนั้น ไปเห็นภาพตัวเองที่ฟูมฟายด้วยยังเยาว์และโง่เขลา ฉันอาจใช้ยาแรงกับตนยิ่งกว่านั้น

 

     ภาพยนตร์เรื่อง He’s just not that into you เรื่องเปิดด้วยคำปลอบประโลมโรแมนติกที่ผู้ใหญ่ฝังหัวเรามาตั้งแต่เด็ก จนใครบางคนเติบโตมาด้วยความเข้าใจผิดมาทั้งชีวิต (ขอโทษจริงๆ ฉันหยิบหนังเก่ามาเล่าถึงอีกแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดแจ่มแจ๋วในประเด็นนี้)

     เด็กหญิงถูกเพื่อนผู้ชายแกล้ง หนูน้อยเสียใจเพราะเขาเป็นปิ๊งแรก เธอวิ่งแจ้นไปฟ้องแม่ แล้วแม่ก็บอกว่า “เด็กผู้ชายคนนั้นทำไม่ดีกับหนู เพราะเขาชอบหนูไง”

     เสียงหญิงสาวล่องลอยขึ้นมา “นี่แหละคือจุดเริ่มต้นของปัญหา เราถูกปั่นหัวให้เชื่อว่าเวลาที่ผู้ชายทำตัวเฮงซวย หมายความว่าเขาชอบคุณ”

     แล้วเราก็โตขึ้นเป็นผู้หญิงที่มีความเชื่อเข้าข้างตัวเองเช่นนี้อยู่ลึกๆ คิดว่าเราดีและเก่งเสียจนเขาไม่กล้าเข้าหา มโนว่าเขากำลังงุ่นง่านเพราะหลงใหลเรามาก จนไม่รู้จะทักทายเราอย่างไรดีให้น่าประทับใจที่สุด เข้าใจว่าเขาคงยุ่งมากเลยยังไม่ติดต่อกลับมา เราเห็นอกเห็นใจไปถึงอดีตของเขา เขาชอบเราแน่ๆ แต่เขาอาจเพิ่งผ่านความสัมพันธ์เลวร้ายมา การเริ่มต้นใหม่จึงเป็นเรื่องยากสำหรับเขา โอเค เราจะรอ เราจะให้เวลาเขาอีกหน่อย แล้วก็ปล่อยให้ความสัมพันธ์ไร้ชื่อดำเนินไปอย่างหละหลวมและเลื่อนลอย

     เราเข้าข้างตัวเอง เราปลอบใจกัน เราหาข้ออ้างร้อยแปดอย่างให้กับความฟุ้งฝัน ทั้งหมดนั้นก็เพื่อความสบายใจของเราเอง เพื่อที่เราจะรู้สึกว่ายังมีความหวัง บางที ‘การมองโลกในแง่ดี’ กับ ‘การหลอกตัวเอง’ ก็เพียงเส้นแบบบางกางกั้น เฮ้อ ใช่ ฉันก็คนหนึ่งที่เคยหันหน้าหันหลังสับสนอยู่ในโลกสองใบนั้น

     ดูไปไม่ถึงครึ่งเรื่อง หนังก็เฉลยคีย์เวิร์ดสำคัญ ตรงเผง ไร้ความปรานีแทงใจดำ เอ่ยจากปากผู้ชายที่เข้าใจความเป็นผู้ชายด้วยกันเอง

     “ถ้าผู้ชายทำกับคุณเหมือนว่าเขาไม่ใส่ใจคุณ นั่นเพราะเขาไม่ใส่ใจคุณจริงๆ”

     พอ! จบ! แยกย้าย! ปราสาททรายที่สาวๆ ก่อไว้ล่มสลายคาตา

     ฉันมักหยิบยืมถ้อยคำของ โอปราห์ วินฟรีย์ มากล่าวถึงอยู่บ่อยครั้ง เพราะชอบในความตรงไปตรงมาของเธอ เธอไม่ใจดี ไม่ใช้คำหวาน ไม่อ้อมค้อม ไม่เข้าข้าง คำพูดของเธอสัตย์จริง หากโอปราห์หลุดเข้าไปในหนังเรื่องที่ฉันพูดถึงในข้างต้น เธอก็คงเดินเข้าไปตบลงกลางโต๊ะ แล้วลั่นกร้าว

     “นี่สาวๆ ฟังฉันนะ… ถ้าผู้ชายต้องการคุณ ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาไปห่างจากคุณได้ แต่หากเขาไม่ต้องการคุณแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่รั้งเขาไว้ได้เช่นกัน”

     นี่คือคำกล่าวที่โอปราห์เคยเอ่ยไว้จริงๆ

 

     ยิ่งโต ฉันยิ่งรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องมองอย่างตรงไปตรงมากับความสัมพันธ์ งานเต้นรำระหว่างเจ้าชายเจ้าหญิงที่นำมาสู่ความสุขแบบ Happily Ever After ไม่เคยมีจริง การปล่อยให้ตัวเองหลงทางอยู่ในเทพนิยายเช่นนั้นอาจทำให้เราช็อกตายได้เลยเมื่อถูกโลกบังคับให้ลืมตาตื่นมาเห็นความจริงที่ตรงข้าม

     มีอีกหลายประโยคคมกริบของโอปราห์ที่อาจไปบาดใจใครหลายคนจนเลือดซิบ หรืออาจเป็นยาขมสำหรับคนที่ต้องการรสหวาน ไม่ก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกซ้ำเติม แต่ยาขมเพียงจิบอาจพาเราไปพบกับ Aha Moment! (คำที่โอปราห์ชอบเอ่ยถึง) หรือชั่วขณะที่เราเกิดความเข้าใจและตาสว่างในฉับพลัน ซึ่งช่วยถอนความเชื่อฝังหัวแบบผิดๆ ออกไปจากชีวิตเราได้

     คำกล่าวของโอปราห์ที่ฉันคัดมา เธอพุ่งไปที่การเตือนสติสาวๆ แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่เพียงเพื่อผู้หญิงหรอก มันใช้ได้กับทุกเพศ ทุกรสนิยมความชอบ ทุกความสัมพันธ์

     “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม อย่าใช้ทั้งชีวิตเพื่อใครอีกคน จนกว่าจะค้นพบได้ว่าความสุขที่แท้จริงของคุณคืออะไร”

     “หยุดแก้ตัวให้คนของคุณและพฤติกรรมของเขา ให้สัญชาตญาณหรือจิตวิญญาณ (Spirit) พาคุณออกจากเรื่องปวดหัวเหล่านั้น”

     “เมื่อใครสักคนเริ่มทำตัวเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง คุณต้องระวังและดูแลตัวเอง คนเราไม่มีทางเปลี่ยนตัวเองเพียงเพราะคนอื่นต้องการให้เปลี่ยนหรอก”

     “เขาจะปฏิบัติต่อคุณตามที่คุณยินยอมให้เขาทำเช่นนั้นนั่นล่ะ”

     “คนที่เขารักกัน เขาไม่ปฏิบัติต่อกันแบบแย่ๆ”

     “ไม่ควรเป็นคุณคนเดียวที่พยายามจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น แต่ควรเป็นการร่วมด้วยช่วยกันของฝ่าย”

     “คุณจะเป็นบ้ากับตัวเองในอีกปีต่อมาแน่ๆ หากพบว่าไม่มีอะไร (ในความสัมพันธ์) ดีขึ้น”

 

     ฉันสังเกต ต้องเป็นคนที่รักและห่วงใยเราจริงๆ เท่านั้น จึงจะกล้ายื่นยาขมยาแรงให้กับเรา เขาอยากให้เราหายไวและหายดี เขาจึงไม่เลือกเลี้ยงไข้เราด้วยการแปะปลาสเตอร์ที่ปากแผล ขณะที่เชื้อโรคยังกัดกินเนื้อลึกลงไป ฉันไม่ได้บอกว่าคนที่ปลอบเราด้วยวิธีอื่นจะมีเจตนาอื่น เราต่างมีวิธีเยียวยาผู้คนที่แตกต่างกันไปตามมุมมองที่เราเห็นควร ฉันเพียงกำลังรู้สึกว่า บางครั้ง ในการจะพาตนเองให้รอดพ้นจากความสัมพันธ์เลวร้าย หรือลุกขึ้นยืนอีกครั้งได้หลักจากความรักพังทลาย เราต้องอาศัยสายฟ้าฟาดลงกลางหน้าบ้างเหมือนกัน เหมือนอย่างที่ฉันเคยรอดมาได้จากประโยคนั้น

     ‘ใช้หัวแม่โป้งตีนคิดก็ยังคิดได้’

     ผู้ชายคนนั้นคบซ้อน เขาไม่ได้รักฉัน เขาไม่ได้เลือกฉัน ไม่ต้องหลอกตัวเอง ไม่ต้องหาข้ออ้างอื่นใด

     ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย การยอมรับความจริงในวันนั้นจึงช่วยให้ฉันรอด