ทุกวันนี้คิดเสมอว่า ถ้าเราเอาน้ำตาลกรอกใส่ปากคนที่ชอบแล้วทำให้เขาพูดจาหวานๆ กับเราได้ เราจะเหมาน้ำตาลทั้งโรงน้ำตาลเลย เพราะคนอะไรหนอช่างปากแข็งเสียเหลือเกิน คำว่า ‘รัก’ ‘คิดถึง’ หรืออะไรก็ตามแต่ที่สากลโลกเรียกว่าภาษาหวานๆ ไม่เคยหลุดออกจากปากหรือปรากฏอยู่ในหน้าแชตไลน์ จนเราอดน้อยใจและอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เราเป็นคนสำคัญของเขาจริงๆ หรือเปล่า ทำไมถึงได้ห้วนและแห้งแล้งเหมือนคนเกลียดกันขนาดนี้
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีมุมน่ารัก เพราะจริงๆ เขาก็มีความมุ้งมิ้งกุ๊กกิ๊กอยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่ไม่ใช่คำพูดเท่านั้น นี่เลยเป็นเหตุผลที่เรายังคงตกหลุมรักเขาเรื่อยๆ และหยุดรักไม่ได้สักที
ส่วนเหตุผลที่เล่าเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะเชื่อว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวเท่านั้นที่หลงรักหรือคบหาดูใจกับคนพูดจาหวานๆ ไม่เป็น และเราค่อนข้างเชื่อว่า เรื่องนี้ได้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดสุดท้ายของคู่รักหลายคู่ ก็เลยอยากเขียนเรื่องนี้เพื่อให้ ‘โรคเบาหวาน’ ไม่ทำร้ายรักของใครไปมากกว่านี้
สำหรับทางออกสำหรับเรื่องนี้ ขอยกเครดิตให้คัมภีร์คู่รักเล่มดังที่ชื่อว่า The Five Love Languages (หนังสือแปลภาษาไทยชื่อว่า ภาษารัก: เคล็ดลับสู่ความรักที่ยืนยาว) เขียนโดย ดอกเตอร์ แกรี แชปแมน หนังสือเล่มนี้ได้เปิดมุมมองใหม่ให้กับเรามาก เพราะหนังสือบอกว่า การบอก ‘รัก’ ไม่ได้มีแค่คำพูดวิธีเดียว แต่ยังมีภาษารักอีกหลายรูปแบบ และที่สำคัญคือ แต่ละคนก็ถนัดหรือใช้ภาษารักแตกต่างกันไป
ดังนั้น ปัญหารักร้าวจึงไม่ได้มีแค่เรื่องไม่รักกันเท่านั้น แต่สำหรับบางคู่ จริงๆ อาจรักกัน เพียงแต่เพราะใช้ภาษารักคุยกันคนละภาษา ก็เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรักตัวเอง ทีนี้ในการจะก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ก็ต้องมองให้ออกว่าตัวเราและคนรักนั้นถนัดและใช้ภาษารักอะไร โดยภาษารักที่ดอกเตอร์แกรียกมามีทั้งหมด 5 แบบ คือ คำพูด การใช้เวลาร่วมกันกับคนรัก การมอบของขวัญ การทำอะไรให้คนรัก และการสัมผัสทางกาย
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ยกตัวอย่างตัวเราเองก็แล้วกัน เราเป็นคนถนัดบอกรักด้วยภาษารักแบบที่หนึ่ง คือคำพูด เราเลยเป็นคนให้ความสำคัญกับคำพูดมากๆ ชอบบอกรัก บอกคิดถึง ในทางกลับกัน เราก็มักจะมองหาการแสดงความรักในรูปแบบของคำพูดเช่นกัน ฉะนั้น พอคบกับคนที่ไม่ถนัดภาษารักที่เป็นคำพูดก็เลยเจอปัญหา คือคิดมากและคิดไปเองว่าเขาไม่รัก เพราะมัวแต่โฟกัสที่คำ
ในชีวิตเราเอง เราเคยพลาดไปแล้วทีหนึ่ง เมื่อเข้าใจผิดว่าแฟนเก่าไม่ได้รักเรา เนื่องจากนางบอกรักหรือบอกคิดถึงน้อยมาก จนเราน้อยใจและรู้สึกไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ และเกิดปากเสียงและผิดใจกันบ่อยๆ จนในที่สุดก็แยกทางกันไป (แต่จริงๆ มีปัญหาเข้ากันไม่ได้เรื่องอื่นๆ ร่วมด้วย)
กระทั่งวันหนึ่งหลังเลิกกันไปแล้ว ตอนนั้นเราเอารูปในโทรศัพท์มือถือมาลงคอมฯ ก็เลยได้เห็นรูปเก่าๆ กับแฟนสมัยยังคบกัน และพอนั่งดูรูปไปเรื่อยๆ ก็ได้พบความจริงว่า เฮ้ย แฟนเก่าก็รักเรานิ เพราะแฟนเก่าก็ทำอะไรดีๆ และน่ารักให้เยอะมาก
เช่น ตอนที่เธอยุ่งสุดๆ แต่ก็ยังหาเวลาประมาณชั่วโมงหนึ่งเพื่อมานั่งกินกาแฟและฟังเราพล่ามเรื่องไร้สาระ หรือตอนที่เรากำลังวุ่นวายกับวิทยานิพนธ์ ก็ช่วยทำธุระนู่นนี่ให้ บางครั้งก็ทำของแฮนด์เมดมาเซอร์ไพรส์ ทั้งที่ช่วงนั้นแฟนเก่ามีเวลานอนไม่ถึง 5 ชั่วโมง
ตอนดูรูป เราถึงกับร้องไห้โฮว่า โธ่เอ๊ย! เราเองนี่แหละที่เข้าใจผิดไปเองว่าแฟนเก่าไม่รัก เพียงเพราะเขาไม่บอกรัก ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักสักหน่อย แต่ว่าทุกอย่างมันก็สายไปแล้ว เพราะเราต่างคนต่างก็เปลี่ยนไปแล้ว การรู้อะไรครั้งนี้ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ นอกจากทำให้ความทรงจำนั้นดีขึ้น ว่ามันเคยมีความรักอยู่ในนั้น และสิ่งที่พอทำได้ต่อก็คือให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนย้ำเตือนไม่ให้ผิดพลาดซ้ำสอง
และไม่น่าเชื่อว่าเราก็เกือบจะผิดพลาดรอบสอง เพราะดันลืมอีกแล้ว! เราติดนิสัยลืมมองการกระทำและมัวแต่สนใจคำพูดเหมือนเดิม เลยเกือบจะถอดใจเลิกชอบคนรักคนปัจจุบัน เพียงเพราะเขาไม่อ้อนหรือพูดจาหวานๆ ซึ่งทำให้เราน้อยใจจนเกือบจะเลิกยุ่งด้วย แต่โชคดีที่ได้อ่านหนังสือ The Five Love Languages ก่อน และทำให้เราหวนนึกถึงบทเรียนกับแฟนเก่าอีกครั้ง
เหมือนได้สติกลับคืนมาว่า ไม่นะ ฉันจะพลาดอีกไม่ได้แล้ว เพราะนี่คือความรักที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต และเมื่อประกอบกับความเข้าใจที่กระจ่างขึ้นจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ เลยทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า คนรักปัจจุบันไม่ใช่คนไม่มีความรัก จริงๆ มีความรัก เพียงแต่สื่อสารผ่านการกระทำเท่านั้นเอง ดังนั้น หากเราอยากไปต่อ สิ่งที่เราควรทำคือต้องหัดเรียนรู้ภาษารักในแบบของเขา
หลังจากนั้นเราก็กลายเป็นคนที่ให้น้ำหนักกับคำพูดและตัวหนังสือน้อยลง แต่หันไปดูและสังเกตว่าเขาทำอะไรให้แทน แล้วก็ช่วยได้จริงๆ มันทำให้ได้เห็นว่า จริงๆ แล้วภาษารักของเขานั้นหวานมาก แม้จะไม่มีคำว่ารักปรากฏอยู่ในนั้นสักคำก็ตาม แต่ก็รับรู้ได้ถึงความรักและความตั้งใจที่จะทำให้ ซึ่งมันทำให้เราชื่นใจและมีความสุขมาก
ในทางกลับกัน พอรู้ว่าเขาเป็นคนบอกรักด้วยการกระทำ เราก็เลยพยายามหันมาบอกรักเขาด้วยภาษาแบบนี้บ้าง ผลที่ได้คือเราไม่ค่อยรู้หรอก เพราะอย่าลืม! ว่าเขาเป็นคนไม่พูดความรู้สึกไง! ฉะนั้น ลืมไปได้เลยเรื่องที่นางจะฟีดแบ็กกลับมา
แต่อย่างน้อยเราก็พอรู้คำตอบบ้างจากรอยยิ้มและความร่าเริงที่อยู่ในตัวคนรัก ว่าเขาก็ดีใจเหมือนกัน ซึ่งแค่นี้ก็ทำให้มีกำลังใจรักเขาต่อไปแล้ว
ดังนั้น สำหรับใครก็ตามที่โชคดีตกหลุมรักกับคนพูดจาหวานๆ ไม่เป็น เราอยากชวนคุณมาลองเรียนภาษารักใหม่ๆ กันดู บางทีคุณอาจพบว่าคนรักของคุณบอกรักคุณทุกวันก็ได้ คือเขาอาจไม่ได้พูดว่ารักหรือคิดถึง แต่การที่เขาทำอะไรให้คุณ มันอาจเท่ากับคำว่า ‘ฉันรักคุณมากๆ’ ก็ได้
ฉะนั้น ถ้าอยากรู้ว่าหวานหรือไม่หวาน คุณอาจต้องใช้ ‘หัวใจ’ รับรู้เอง