“ชีวิตแต่ละวันของคุณคิมจียองเสมือนอยู่กลางสมรภูมิรบ
หากคลายใจนิดเดียวมีหวังคงพลาดเลือดนอง
เธอไม่ว่างมากพอจะสังเกตทุกข์สุขของใครอื่น
ความเสียใจน้อยใจโรยตัวลงทับถมบนสายสัมพันธ์คนทั้งคู่
ดุจฝุ่นผงบนหลังตู้เย็นหรือชั้นติดผนังห้องน้ำ
แม้จะเห็นเต็มสองตา แต่ก็เพียงปล่อยปละ ยอมรับให้เป็นไปเช่นนั้น”
ฉันกำลังอ่านหนังสือเรื่อง คิมจียอง เกิดปี 82* อยู่ค่ะ เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เสมือนเป็นตัวแทนเพศหญิงอีกหลายคนในสังคมเกาหลีใต้ ที่ต้องแบกรับความคาดหวังและความกดดันในหลายสถานะ ทั้งความเป็นลูก เป็นเมีย และเป็นแม่ ฉันอ่านมาถึงตอนที่คิมจียองเริ่มชีวิตวัยทำงาน
เธอเป็นพนักงานระดับล่างที่กำหนดเวลาชีวิตของตัวเองไม่ได้ เป็นเด็กใหม่ที่ต้องทำตัวให้เป็นที่ยอมรับ หน้าที่ของเธอยามต้องไปดื่มกับลูกค้าและหัวหน้า (ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย) คือดูแลให้ทุกคนพึงพอใจ และหลายหนเชียวที่ต้องทนเป็นต้นกำเนิดเสียงหัวเราะเพื่อให้วงสังสรรค์ครึกครื้น
คืนหนึ่งในงานกินเลี้ยงของบริษัท คิมจียองถูกคะยั้นคะยอให้ดื่ม แฟนของเธอโทร.เข้ามาหา เพื่อนร่วมงานผู้ชายถือวิสาสะรับสายแทนเจ้าของโทรศัพท์ที่ฟุบหลับคาโต๊ะไปเสียแล้ว
หากฉันเป็นคนรักของคิมจียองก็คงรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย แต่กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตถึงขั้นทำให้ต้องเลิกรา แฟนของคิมจียองเองก็คิดเช่นนั้น เขารู้ว่าเธอไม่มีทางดื่มเองจนเมามาย และเพื่อนชายร่วมบริษัทที่รับสายก็ไม่ได้มีอะไรให้คิดเกินเลย
“เขารู้ดีทุกอย่าง แต่ปัญหาไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น”
ฉันว่าไม่มีคู่รักคู่ไหนหรอกค่ะ ที่จะรักกันอย่างราบรื่นราวเดินบนพรมผืนนุ่มไปตลอดทาง อย่างน้อยก็ได้เจอพื้นขรุขระซ่อนอยู่ใต้พรมให้ได้เหยียบหรือสะดุดกันบ้าง ต่อให้เรารักกันปานขาดใจเพียงไร นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พบเรื่องขัดใจหรือความขัดแย้งในชีวิตคู่ และฉันก็ยังเชื่ออีกว่าในความสัมพันธ์ การเลิกกันด้วยปัญหาเล็กน้อยนั้นไม่มี มีก็แต่เรื่องเล็กน้อยที่กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย
คู่ของคิมจียองเป็นเช่นนั้น
การทำงานทำให้เธอและคนรักเหินห่างกันออกไป คิมจียองไม่มีเวลาเจอแฟนเหมือนก่อน ไม่ค่อยรับโทรศัพท์หรือส่งข้อความหากันเหมือนเคย คนรักของเธอที่กำลังศึกษาต่อยังไม่เคยเข้าสู่ชีวิตการทำงาน จึงไม่อาจเข้าใจ คิมจียองเองได้แต่เก็บงำความรู้สึกไม่ผ่อนคลายนี้ไว้กับตัวและอย่างที่ผู้เขียนเขียนไว้ ฝุ่นเม็ดเล็กค่อยๆ โรยลงบนความสัมพันธ์ ทีละน้อยแต่ทุกวัน เห็นเต็มสองตา ทว่าถูกละเลย
ประเด็นนี้ในหนังสือชวนให้ฉันคิดต่อ และต้องรีบสำรวจตัวเองว่ามีปัญหาที่ปล่อยให้เป็นฝุ่นหนาเตอะอยู่ในความสัมพันธ์บ้างหรือไม่
สังคมเกาหลีใต้ที่บอกเล่าผ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากสังคมไทยที่เราอยู่เลยค่ะ ฉันไม่แน่ใจจริงๆ ว่าเราจะโบ้ยให้เป็นความผิดของรูปแบบชีวิตในโลกยุคปัจจุบันได้ไหม เราถูกโฆษณาสะกดจิตว่าชีวิตที่ดีต้องเป็นแบบนี้นะ แล้วเราก็พยายามหาทางเพื่อให้ได้สิ่งที่เป็นรูปธรรมเหล่านั้นมาเติมใส่ชีวิต
เราเห็นผู้คนออกมาแสดงตนว่าประสบความสำเร็จอยู่นับไม่ถ้วน ชวนให้เราฝันถึงวันที่จะได้ไปยืนอยู่จุดนั้นบ้าง เราจึงออกไปข้างนอก ไปวิ่งหา ไปกระโดดคว้า เมื่อกลับมาบ้านจึงพบว่าฝุ่นจากที่ไหนไม่รู้ลอบลอยเข้ามา เกาะจับไปแทบทั่วบริเวณ
แต่เราเหนื่อยเกินไปที่จะหยิบผ้ามาเช็ดทำความสะอาด แม้จะใช้ปลายนิ้วป้ายฝุ่นก็ยังเป็นเรื่องยาก ทำได้เพียงล้มตัวนอนไปท่ามกลางฝุ่นที่คอยจะหนาขึ้น เพื่อที่รุ่งเช้าเราจะได้มีแรงออกไปไล่คว้าอะไรสักอย่างข้างนอกบ้านต่อไป
และบางที เราก็เผลอปล่อยปละความสัมพันธ์ให้เป็นเหมือนบ้านที่เต็มไปด้วยฝุ่นจับหนา ปัญหาก่อตัวขึ้นในชีวิตรัก แต่เราก็เลือกวางทิ้งไว้อย่างนั้น ไม่มีเวลาจะหยิบยกขึ้นมาพูด นึกว่าจะทนไหวและคลี่คลายไปเองในวันหนึ่ง หรือไม่ก็เรากลัวที่จะเอ่ยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา บางปัญหาในชีวิตคู่ก็เจ็บปวดเสียจนเจ้าตัวยังไม่กล้าจะแตะต้อง
แล้ววันดีคืนดี เราก็พบว่าความไม่สมบูรณ์ของอีกฝ่ายที่เคยมองข้ามกลับเห็นเด่นชัดและขัดลูกหูลูกตา อะไรที่เคยยอมรับได้ก็กลายเป็นยอมรับไม่ได้เสียอย่างนั้น กระทั่งการมาไม่ตรงเวลานัด การไม่รับสายโทรศัพท์ จานชามที่ค้างไว้ในอ่าง ถุงเท้าที่ทิ้งไม่ลงตะกร้า ก็กลายเป็นชนวนของการเลิกรากันได้ง่ายๆ
เรื่องหยุมหยิมนี่ล่ะตัวดี ที่ฉันบอกว่ามันสามารถกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย เอาแค่เรื่องจะกินอะไรดี ก็มีคู่ที่ทะเลาะกันจนเลิกมาแล้ว อาจดูเหมือนเรื่องไม่เป็นเรื่อง เหมือนหินก้อนเล็กที่ไม่น่าทำให้ความรักกระเทือน แต่หากหยิบหินก้อนเล็กปาใส่กระจกที่มีรอยร้าวอยู่แล้วและพร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ กระจกบานใหญ่ก็ทลายกลายเป็นเสี่ยงลงมาได้
สองคนนั้นไม่ได้เลิกกันเพราะแค่เรื่องฉันจะกินอย่างนี้ แต่เธอจะกินอย่างนั้น หากแต่สิ่งที่พอกอยู่เบื้องหลังคือความต้องการของชีวิตในเรื่องสำคัญที่ไม่เคยลงรอยและไม่มีใครยอมใคร ความอัดอั้นดันมาระเบิดเอาวันที่เธอและเขากำลังหิว แต่ก็ตกลงกันไม่ได้สักทีว่าจะกินร้านไหน ทะเลาะกันตรงทางแยก แล้วทั้งคู่ก็ไม่เคยได้กินข้าวด้วยกันอีกเลย
เมื่อใดก็ตามที่ปัญหากระจิริดเกิดขึ้นในชีวิตคู่ แล้วเรากลับรู้สึกทุกข์ทนราวกับกำลังแบกหินก้อนใหญ่ไว้บนบ่า ลองสำรวจความสัมพันธ์ของเราดูนะคะว่ามีปัญหาอื่นที่หนักหนากว่าสะสมอยู่หรือเปล่า ไม่มีใครบอกเราได้หรอกว่าหินก้อนที่ใหญ่กว่านั้นคือเรื่องใด เพียงเราและคู่เท่านั้นที่ต้องหาต้นตอให้เจอแล้วรีบจัดการแก้ไข หรือหากพบว่าความสัมพันธ์มีฝุ่นจับหนาเกินจะเช็ดให้สะอาด กระจกก็เต็มไปด้วยรอยร้าวจนเกินประคอง ไม่อยากยอมรับแล้ว ไม่อยากอดทนแล้ว ไม่มีแรงจะแก้ไขอะไร นั่นอาจหมายความว่าถึงเวลาแล้วที่สองคนควรยุติความสัมพันธ์ จากกันอย่างเข้าใจเสียก่อนที่กระจกร้าวจะทลายลงมา
กลับมาที่คู่ของคิมจียอง แฟนมารับเธอกลับบ้านแล้ว…
“ทั้งสองผู้ห่างเหินกันมีปากเสียงรุนแรงในคืนนั้น”
“เชื้อไฟน้อยนิดเพียงร่วงหล่นเหนือละอองอารมณ์ที่เดิม
ทับถมจนแห้งกรังมานานวัน
ครั้นแล้ว โมงยามแห่งวัยเยาว์อันสดสวยที่สุด
ก็พลันมอดไหม้เหลือเพียงกองเถ้า”
ในที่สุด คู่รัก ‘ผู้ห่างเหิน’ ก็เลิกราจากกันไป
*คิมจียอง เกิดปี 82 เขียน:โชนัมจู แปล: ตรองสิริ ทองคำใส สำนักพิมพ์: Earnest Publishing