ไม่กี่วันมานี้ จู่ๆ ฉันก็นึกถึงชื่อนักเขียนคนหนึ่งขึ้นมา นักเขียนที่แนะนำคำว่า ‘Positive Thinking’ ให้แก่ชีวิตช่วงวัยเรียนของฉัน งานเขียนของเขาอธิบายความหมายของคำได้กระจ่าง อธิบายด้วยเรื่องเล่าอบอุ่นใจ ด้วยมุมมองอันสว่างไสว ด้วยถ้อยคำเรียบง่ายแต่เปรี้ยงกลางใจ ฉลาดเล่าด้วยเข้าใจในชีวิตอย่างลุ่มลึก
ฉันจำได้ อ่านหนังสือของเขาทีไรรู้สึกราวกับโลกนี้ไร้เรื่องทุกข์ร้อน หรือแม้จะมีบ้างที่ร้อนก็ผ่อนเป็นเย็นลงได้ง่ายดาย
เขาชื่อ โรเบิร์ต ฟูลกัม (Robert Fulghum) เป็นนักเขียนชาวอเมริกัน หนังสือของเขาถูกแปลในหลายภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทย งานเขียนของเขาดังมากในเมืองไทยเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ฉันเป็นแฟนตัวยงของลุงฟูลกัมเลยล่ะ เล่มไหนแปลเป็นไทย เล่มนั้นฉันไม่มีพลาด
‘รักแท้ (True Love)’ เป็นหนึ่งเล่มที่ฉันได้อ่าน ลุงฟูลกัมหยิบเรื่องราวความรักในหลายแง่มุมมาเขียนเล่าสู่กันอ่าน ทั้งจากการเฝ้ามองชีวิต ทั้งผ่านการบอกเล่าของผู้คนรอบข้าง
รักแรก รักร้าว รักซื่อๆ รักซึ้งๆ รักแสนสั้น รักยาวนาน สารพัดเท่าที่ความรักจะมอบมุมมองให้เราได้
ฉันอ่านเล่มนี้ตั้งแต่สมัยเรียน ถึงวันนี้จะให้นึกว่าลุงแกเล่าอะไรถึงความรักไว้ในเล่มบ้างฉันคงนึกเป็นเรื่องๆ ไม่ออกแล้ว แต่อย่างหนึ่งที่แจ่มชัดอยู่คือทุกเรื่องเล่า ลุงจะพาเราสู่ ‘แง่งามในความรัก’ ได้ทุกครั้งไป
โตจนถึงวัยนี้ ฉันรู้ จะให้มองความรักหรือความสัมพันธ์แต่ในด้านสว่างดูเป็นเรื่องยาก เราล้วนมีประสบการณ์ความรักที่แตกต่าง เราอยู่ในความสัมพันธ์หลากหลายกันไป มีสุขจากรัก มีทุกข์จากรัก ระคนอยู่ในหนึ่งชีวิต และดวงตาของเราก็มากด้วยม่านอารมณ์ที่กางซ้อนอยู่หลายชั้น จึงยากเหลือเกินที่จะมองทะลุปรุโปร่งไปถึงแก่นแท้ของคำว่า ‘รัก’ ได้
แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังเชื่อว่าในชีวิตของคนธรรมดาๆ อย่างพวกเรา อย่างน้อยก็ต้องมีความรักสักเรื่องหนึ่งที่เราจัดไว้เป็นมุมงามของชีวิต (หรือมีมากกว่าหนึ่งก็ยิ่งน่ายินดี) อาจเป็นคนรักในอดีตหรือเป็นคนรักในปัจจุบัน เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเราและเขา ไม่ว่าจะเรียบง่ายหรือน่าอัศจรรย์ใจ อาจในวันปกติธรรมดาที่เหมือนไม่มีอะไรพิเศษ แดดส่องเหมือนเมื่อวาน ลมพัดอย่างที่เคย อาหารร้านเดิม ถนนเส้นเก่า อาจเป็นสถานที่ลึกลับที่เราพลัดหลง หรือตั้งใจกระโจนเข้าไป
สักเรื่องหนึ่ง จะอย่างไรก็ได้ ที่เมื่อนึกถึงแล้วจะรู้สึกอุ่นที่ใจ อมยิ้ม รู้สึกบวกกับเรื่องนั้นเสมอ
เรื่องเล่าของลุงฟูลกัมก็เช่นนี้ เรื่องของคนธรรมดาๆ ที่ชวนให้รู้สึกว่าโลกสวย
คำว่า ‘โลกสวย’ สำหรับฉัน บางครั้งก็เหมือนยาวิเศษ
จากประสบการณ์ของตัวเอง ฉันพบว่าการคิดถึงเรื่องดีของชีวิตช่วยเราได้มากในวันที่โลกของเราไม่ค่อยสวยสักเท่าไหร่
วันที่เศร้าสุดลึก เราอยากจะพิงไหล่ใครกันถ้าไม่ใช่คนที่เรารักและเขาก็รักเรา ในยามที่ชีวิตพบปัญหา เราอยากเดินไปบนทางเส้นไหนระหว่างอุโมงค์ทึบตันกับอุโมงค์ที่มีแสงสว่างรออยู่ข้างหน้า ในเวลาที่ท้อเหลือเกินแล้ว เราอยากได้ยินถ้อยคำไหน คำทับถมหรือให้กำลังใจ
เวลาชีวิตมันแย่ เราอยากพบเจอสิ่งที่สวยงามกว่าที่เป็นอยู่ทั้งนั้น แล้วหากมองไม่เห็นความสวยงามของโลก เราจะได้พบสิ่งที่ดีกว่าได้อย่างไร หรือขณะที่เรายังทำอะไรๆ ให้ดีขึ้นไม่ได้มาก การคิดถึงเรื่องดีไว้จะคอยกระตุ้นให้สมองพยายามมองหาทางออก หรืออย่างน้อยก็ช่วยประคองให้เราไม่หมดหวังกับชีวิตไปเสียตั้งแต่ยังไม่ทันลงมือทำอะไรเลย
หลายครั้งที่ฉันต้องพาตัวเองให้รอดด้วยการมองโลกให้สวย เพราะเอาเข้าจริงฉันออกจะเป็นคนรู้สึกง่าย เศร้าง่าย จึงต้องหาทางเอาตัวรอดจากความรู้สึกลบหลายแหล่ที่เกิดขึ้น แล้วพอหวนคิดถึงโมงยามที่เคยเป็นสุขและยังมีหวังในสิ่งที่เป็นสุข ก็ทำให้กลับมาฮึดได้ เอามาเป็นกำลังใจฉุดตนให้ลุกขึ้น ปัดฝุ่นที่ก้น แล้วใช้ชีวิตต่อไป
เช่นเดียวกับความรัก
ในธรรมชาติของคนสองคนย่อมมีการกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา การมุ่งมองไปยังสิ่งดีๆ ที่มีแก่กันทำให้เราอยากถนอมรักษาความรักนี้ไว้ ขัดแย้งเรื่องใดก็คลี่คลายได้ง่ายขึ้น
การมองความรักในด้านดียิ่งจำเป็นเหลือเกิน ในยามที่เรากำลังอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยสู้งาม หากเรายังเชื่อว่าความรักที่ดีมีอยู่จริง ความเชื่อนั้นจะช่วยดันหลังให้เรากล้าเดินออกมาจากความสัมพันธ์ย่ำแย่ จะช่วยให้เรามีเรี่ยวแรงรักษาเนื้อรักษาตัวเพื่อรอวันพบกับรักที่ดีกว่า และเพื่อเปิดโอกาสให้เรารักตัวเองให้มากกว่าที่เคย
เมื่อใดที่ความสัมพันธ์จบลง เมื่อนั้นเรายิ่งต้องตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองไว้ให้มาก ยิ่งต้องกอดความรักไว้กับตัว ยิ่งต้องสัมผัสถึงพลังดีงามของความรักที่ยังอยู่กับเราให้ได้
เรื่องที่ท้าทายยิ่งกว่าคือการมองเห็นด้านบวกในความสัมพันธ์ทางลบที่จบไปแล้ว
คงไม่มีใครอยากนึกถึงอดีตที่มีแต่รอยเจ็บช้ำ แต่ความคิดเป็นเรื่องห้ามยาก ห้ามไม่ให้คิดก็ยิ่งชวนคิด แต่ก่อนฉันเองเป็นหนึ่งคนที่มักคิดวนเวียนถึงเรื่องเก่า มีความเจ็บปวดแวบวาบเข้ามาในใจบ้าง แต่เรื่องที่จบไปแล้วก็คือจบไปแล้ว เราทำอะไรกับมันไม่ได้แล้ว
สิ่งเดียวที่ทำได้คือมองให้ออกว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นั้น เราจะรักตัวเองให้มากขึ้นอย่างไรเพื่อไม่ให้ซ้ำรอยเดิม เราจะเป็นคนที่ดีขึ้นได้อย่างไรเพื่อไม่ให้เผลอไปทำร้ายหัวใจใครอื่นอีก
เรามาลองสวมมุมมองของคุณลุงฟูลกัมกันดีไหม
นึกถึงความรักของเราเรื่องใดก็ได้ ไม่ว่าจะอย่างตั้งใจนึกหรือผุดเข้ามาในความคิด ณ ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดหรือเป็นอดีตที่ย้อนกลับไปนาน เห็นหน้าของเขาให้ชัด แต้มสีให้ภาพ ใส่เสียงคลื่น ใส่เสียงฝน ใส่กลิ่นหอมของดอกไม้ ใส่ทุกรู้สึกสัมผัสลงไป
ยิ้มแก่กันอย่างไร หัวเราะด้วยกันในเรื่องอะไร กอดกันแนบแน่นแค่ไหน เอาให้แจ่มชัด แล้วดื่มด่ำความทรงจำเปี่ยมสุขอย่างเต็มที่
หรือหากดันเป็นรักร้ายที่วกกลับเข้ามาให้นึกถึง ก็แค่เรียนรู้จากความสัมพันธ์ในครั้งนั้น
เอาให้เหมือนลุงฟูลกัม คือพาตัวเองสู่ ‘แง่งามในความรัก’ ให้ได้