ความหวัง

Love Actually | รักได้อย่างแฮปปี้ แค่เปลี่ยนจาก ‘คาดหวัง’ เป็น ‘หวัง’

ถือเป็นเรื่องปกติเลยก็ว่าได้ เวลาคนเรารักใครชอบใคร ก็มักคาดหวังอยากให้อีกฝ่ายเป็นอย่างที่เราคิดหรือต้องการ เช่น อยากให้เขาชอบเราเหมือนที่เราชอบเขา อยากให้เขาแคร์เราเหมือนที่เราแคร์เขา แต่พอถึงตอนที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ทำให้น้อยใจ หงุดหงิด เจ็บปวด หรือไม่พอใจได้

     อย่างเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เพื่อนเราคนหนึ่งโทร.มาปรึกษาเรื่องแฟนที่ระหองระแหงกัน เรื่องของเรื่องคือ ช่วงสองปีที่ผ่านมา เพื่อนเรารู้สึกว่าความสัมพันธ์กับแฟนไม่สนิทใจกันเหมือนแต่ก่อน นานวันเข้ายิ่งรู้สึกชัดว่าแฟนไม่เหมือนเดิม ทำให้ทะเลาะกันบ่อยมาก เรียกว่าแทบทุกครั้งที่คุยกันจะต้องทะเลาะกัน สุดท้ายก็เลยเปิดใจคุยกันกับแฟนเพื่อขอคำตอบว่าจะเอาไงต่อดี จะคบต่อหรือจะเลิก

     ตอนที่เพื่อนเราโทร.มาคุยกับเรา เป็นช่วงที่กำลังรอฟังคำตอบจากแฟนพอดี ใจคอเลยไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะกลัวจะได้ยินคำตอบที่ไม่อยากได้ยิน ซึ่งพอเราได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด สิ่งที่เราคิดต่อจากนั้นคือ ต่อให้แฟนบอกว่าคบต่อก็จริง แต่เชื่อเหอะ อีกไม่ทันไรเพื่อนเราก็จะกลับไปกังวลต่ออีกว่า แล้วพรุ่งนี้ล่ะ? มะรืนนี้ล่ะ? หรือในอนาคตข้างหน้าแฟนจะยังตอบเหมือนเดิมหรือไม่?
พูดอีกอย่างคือ คำตอบของแฟนในวันนี้เป็นแค่ ‘ยาแก้ปวด’ ช่วยบรรเทาอาการไม่สบายใจได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ไม่ได้ช่วยรักษาความไม่สบายใจไปได้หมด พอฤทธิ์ความสบายใจจากคำพูดเสื่อมคลายลง ความกังวลใจก็จะกลับมาใหม่ ซึ่งพอเพื่อนได้ยินที่เราบอก ก็ยอมรับว่าเป็นอย่างนั้นจริง คำถามคือ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

 

     ถ้าว่ากันจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่อง ‘ความคาดหวัง’ กล่าวคือ เพื่อนเราคาดหวังอยู่ลึกๆ ว่าอยากให้แฟนยังรักและคบกันเหมือนเดิม แม้ว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่จะระหองระแหงมากก็ตามที แต่ยังอยากให้อะไรๆ เป็นอย่างที่ตัวเองคิดไว้เท่านั้น

     อย่างที่ใครๆ ก็รู้ว่า ‘ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอนที่สุดในโลกนี้’ กระทั่งใจคนก็ไม่สามารถเอาแน่เอานอนได้ เช่น วันนี้รักกันอยู่ พรุ่งนี้อาจเลิกรักก็ได้ ฉะนั้น หากเอาใจไปยึดติดกับตัวคนแล้วล่ะก็ จะหาความสงบสุขได้ยากมาก เพราะจะจมอยู่กับความไม่มั่นใจว่า พรุ่งนี้เขาจะยังรักเราอยู่ไหม ซึ่งนี่ก็คือความทุกข์แล้ว

     ฉะนั้น ถ้าหากอยากแก้ปัญหานี้จริงๆ ก็ต้องไปแก้ที่ความคาดหวัง โดยเปลี่ยนจาก ‘ความคาดหวัง’ (Expectation) ให้กลายเป็นแค่ ‘ความหวัง’ (Hope) แทน

     สำหรับ ‘ความคาดหวัง’ กับ ‘ความหวัง’ ฟังผิวเผินดูคล้ายๆ กัน คือปรารถนาให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้น แต่มีข้อแตกต่างสำคัญๆ ตรงที่ว่า

 

ความคาดหวังเป็นการปรารถนาให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ‘ต้อง’ เกิดขึ้นจริงๆ แบบไม่มีเผื่อใจ
ขณะที่ความหวังนั้นคืออยากให้เกิด แต่ถ้าไม่เกิดก็ไม่เป็นไร

 

     เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองนึกถึงการซื้อลอตเตอรี่ ใครๆ ก็รู้ว่าลอตเตอรี่มีโอกาสถูกน้อยกว่าไม่ถูก ฉะนั้น ถ้าไม่ถูกลอตเตอรี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เรียกว่าเป็นเรื่องปกติเลยด้วยซ้ำ แต่กระนั้นเวลาซื้อลอตเตอรี่ เราก็ซื้อด้วยความหวังว่าเผื่อจะถูก ถ้าเกิดถูกขึ้นมาจริงๆ เรียกว่าโชคดีไป ซึ่งนี่แหละคือการมี ‘ความหวัง’ ไม่ใช่ ‘คาดหวัง’ มันเป็นการมองสิ่งที่ยังไม่เกิดในเชิงบวก ขณะเดียวกันก็เผื่อใจในกรณีที่ไม่ได้เป็นอย่างที่ต้องการ

     เช่นกันกับเรื่องความรักความสัมพันธ์ ถ้าคนเราปรับจาก ‘ความคาดหวัง’ มาเป็น ‘ความหวัง’ ก็จะลดความกังวลใจลงไปได้เป็นกอง เพราะได้ปรับใจและวิธีคิดตัวเองให้สอดคล้องกับสัจธรรมของโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอน กล่าวคือ ไม่ว่าใครจะอยู่ ใครจะมา หรือใครจะไป ก็มีวิธีคิดที่รองรับไว้สำหรับทุกผลลัพธ์ ไม่ยึดมั่นกับทางใดทางหนึ่ง แต่ครั้นถ้าไม่มี ‘ความหวัง’ เลย ชีวิตก็จะห่อเหี่ยวและน่าหดหู่เกินไป เพราะอย่าลืมว่าที่คนเราลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ๆ ได้ก็เพราะมีหวังกับวันข้างหน้าว่ามีอะไรดีๆ รออยู่

 

     อย่างในกรณีเพื่อนเรา ถ้าเขาสามารถปรับมาเป็นแค่ ‘หวัง’ ว่าความสัมพันธ์กับแฟนจะยังไปได้ต่อ เพื่อนเราก็จะสบายๆ มากขึ้น และตึงเครียดเรื่องตัวเองกับแฟนน้อยลง เพราะไม่ต้องมาทนกดดันภาวนาให้ความจริงเป็นอย่างที่ตัวเองคิดไว้อย่างเดียวเท่านั้น

     นอกจากนี้ หากทุกอย่างเป็นไปอย่างที่หวังไว้ เพื่อนเราก็จะรู้สึกขอบคุณหรือมองว่าตัวเองช่างโชคดีจังเลย ซึ่งต่างจากการตั้งต้นด้วยความคาดหวัง ที่พอเกิดอะไรอย่างที่คิดไว้ก็ไม่ได้รู้สึกขอบคุณมากนัก เพราะคิดว่านี่คือสิ่งที่ตัวเองสมควรได้รับมาตั้งแต่ต้น ผลที่ตามมาคือ ระดับความรู้สึกยินดีก็จะแตกต่างกัน

     ดังนั้น แม้ไม่มีใครบอกได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนเรากับแฟนจะไปต่ออย่างยาวนานหรือไม่ แต่อย่างน้อยหากเพื่อนเราเปลี่ยนมาเป็นแค่หวัง ก็จะทุกข์ใจน้อยลง ไม่ต้องมากระวนกระวายหรือกลัวว่า คำตอบเดียวที่รอฟังจะได้ยินแบบนี้ไปทุกๆ วันหรือเปล่า เพราะเผื่อใจไว้แล้วว่าอาจได้ยินหรืออาจไม่ได้ยินก็ได้

 

     เรื่องทำนองนี้เชื่อว่าคงไม่ได้มีแค่เพื่อนเราคนเดียวเท่านั้นที่เจอ แต่คงมีใครหลายคนที่กำลังทุกข์ใจกับความคาดหวังของตัวเอง และอยากหลุดพ้นจากเรื่องนี้ โดยวิธีหนึ่งที่จะช่วยคุณได้ก็คือ ลองเปลี่ยนมาคิดว่า “ถ้าได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร” แล้วคุณจะพบว่า คุณปล่อยวางอะไรลงได้เร็วขึ้น เพราะคุณไม่ได้ฝืนตัวเองกับโลก แต่วางใจตัวเองสอดคล้องกับความเป็นจริง

     ดีไม่ดี พอคุณสบายๆ คุณอาจปฏิสัมพันธ์กับคนรักได้ดีขึ้น เพราะคุณคาดหวังกับเขาน้อยลง ถึงตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเขาอาจกลับมาดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้เช่นกัน