10 บทความ

Love Actually | ทัศนคติอะไรบ้าง ถ้ามีแล้วชีวิตรักจะดีขึ้น

หลายคนชอบนึกว่าความรักเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก แต่จริงๆ ความรักเกี่ยวข้องกับ ‘ทัศนคติ’ อย่างแยกไม่ออก เพราะทัศนคติเป็นตัวกำหนดวิธีคิดและการใช้ชีวิตของคนเรา เมื่อเรามีทัศนคติอย่างไร วิธีที่เรารักใครหรือมีความสัมพันธ์กับใครก็จะเป็นอย่างนั้น

     ดูง่ายๆ เช่น คนที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะได้รับความรัก คุณคิดว่าคนแบบนี้จะมีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพไหม? เพราะอย่าลืมนะว่าคนที่มองตัวเองไม่มีค่า พวกเขาก็ไม่ได้สนใจมากมายว่าคนที่เขาคบต้องดีหรือต้องคอยดูแลเอาใจใส่พวกเขา เพราะพื้นฐานคนลักษณะนี้ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าพวกเขาคู่ควรกับความรักที่ดี

     ฉะนั้น ในบทความนี้ จะนำ 3 ทัศนคติสำคัญๆ ที่ช่วยให้มีความรักและความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

 

1. “ไม่มีใครคืออีกครึ่งของเรา เราและเขาคือสิ่งที่เต็มในตัวเองและเดินไปด้วยกัน”

     ปัญหาคนวิ่งไล่ตามความรัก โดยมากมักเกิดจากการที่ผูกติด (Attach) ตัวเองกับอีกคน เพราะหวังให้อีกคนมาเติมเต็มที่ว่างในใจ การคิดแบบนี้เท่ากับว่า มองตัวเอง ‘ขาด’ อยู่ตลอดเวลา และพอรู้สึกขาดก็จะกระหาย อยู่ไม่สุข และทุรนทุราย อยากให้ที่ว่างนั้นถูกเติมเต็ม สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนที่คิดแบบนี้ก็จะออกวิ่งหาใครสักคนมาเติมตัวเองอย่างไม่รู้จบ ซึ่งการมีความสัมพันธ์ด้วยความรู้สึกขาด มันทำให้ความสัมพันธ์นั้นเป็น ‘ความกลัว’ มากกว่า ‘ความรัก’

     เรากลัวอีกฝ่ายจะไม่รักเรา เรากลัวอีกฝ่ายจะไม่อยู่เพื่อเติมเต็มที่ว่างนั้นต่อ สิ่งที่ตามมาคือ เราจะประสาทเสียและหมกมุ่นกับคนรัก เราจะพยายามเอาใจเขา ยอมเปลี่ยนตัวเองสารพัดเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดี โดยหารู้ไม่ว่าเรากำลังสูญเสียความเป็นตัวเองไป และเราค่อยๆ หมดเสน่ห์ลง เพราะเสน่ห์เกิดจากการเป็นตัวของตัวเอง อีกด้านหนึ่งคือ เรากำลังสร้างความอึดอัดกับอีกฝ่าย ด้วยการเกาะตัวเองกับอีกฝ่ายจนเกินไป ผลสุดท้ายคือ จบลงด้วยการเลิกรา แล้วเราก็กลับไปวิ่งหาส่วนที่ขาดต่ออีกเรื่อยๆ

     ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากเปลี่ยนตัวเอง ไม่ให้วิ่งไล่ใครอีกต่อไป คุณต้องทำให้ตัวเองเชื่อได้ก่อนว่า หน้าที่ของการเติมตัวเองนั้นไม่ใช่จากคนอื่น แต่คือตัวคุณเอง อย่าเชื่อเพลงรักหวานซึ้งนั้นมากเกินไป เพราะเพลงรักเหล่านั้นไม่ได้มารับผิดชอบอะไรกับความทุกข์ของคุณ มันแค่แต่งให้คุณชอบเพลง แต่ไม่ได้ทำให้คุณก้าวต่อ ฉะนั้น ก่อนจะรักใคร คุณต้องรักและดูแลตัวเองให้เหมือนกับที่คุณอยากดูแลคนอื่น เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเติมตัวเองจนอิ่มจนล้น คุณก็จะเริ่มรักใครด้วยการแบ่งปันได้ง่ายขึ้น เพราะคุณมีมากจนอยากแบ่งปัน ไม่ใช่เพราะคุณอยากได้มัน

 

2. “มองตัวเองอย่างไร ก็จะได้อย่างนั้น”

     คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมคนเจ้าชู้ถึงประสบความสำเร็จในการจีบ ทั้งที่บางคนถูกป้ายหัวว่า ‘เจ้าชู้’ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนกล้าเล่นกับไฟ เหตุผลเพราะคนเจ้าชู้พราวเสน่ห์มองตัวเองมีค่า และพวกเขาก็รู้ด้วยว่าคนที่พวกเขาจะจีบก็ต้องเห็นค่าในตัวพวกเขา ซึ่งอาจเป็นเงิน รูปลักษณ์หน้าตา บุคลิกที่น่าหลงใหล ความเอาใจใส่หรือความหวือหวาที่พวกเขาสามารถมอบให้ เป็นต้น เมื่อคนเจ้าชู้รู้ตัวว่าตัวเองมีค่า และรู้ว่าใครที่มองหาคุณค่า พวกเขาก็แค่แสดงคุณค่านั้นออกมาและใช้มันดึงดูดเหยื่อให้มาติดกับ

     ตัดภาพมาที่คนอีกประเภทที่มองตัวเองไม่มีค่า การเริ่มต้นคิดแบบนี้ก็เหมือนอีกขั้วหนึ่งของคนเจ้าชู้ เป็นการมองตัวเองว่าไม่มีตัวเลือกหรือไม่มีสิทธิ์เลือก เช่น ชีวิตนี้ฉันคงไม่เหมาะที่จะมีใคร หรือไม่อีกแบบคือ ถ้ามีใครเข้ามาก็คงต้องคบหมด แต่ถ้าคนเหล่านี้เปลี่ยนมามองตัวเองมีค่าและเลือกเฉพาะคนที่เห็นคุณค่าตัวเองจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น? คำตอบคือ พวกเขาก็จะฉายคุณค่าเหล่านั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะพวกเขาภูมิใจในตัวเองมากพอจนแฝงอยู่ในบุคลิกและการกระทำ พวกเขาจะรู้สึกถึงอำนาจที่พวกเขามีว่า สามารถเลือกได้ว่าอะไรคู่ควรหรือไม่คู่ควรกับสิ่งที่พวกเขาเป็น ฉะนั้น เรื่องนี้มันแค่นิดเดียวเองว่ามองตัวเองอย่างไร

     เอาเข้าจริง คนเจ้าชู้ก็ไม่สามารถจีบทุกคนบนโลกนี้ได้ติดหมดหรอก คนเจ้าชู้แค่ทำสถิติได้ดีกับคนที่ยังไม่เข็ดกับเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ แต่สำหรับคนที่พอกันทีกับความเจ้าชู้หรือมองหาความซื่อสัตย์ คนเจ้าชู้ทำอะไรกับคนกลุ่มนี้ไม่ได้เลย และถ้าเผอิญคุณเป็นคนซื่อสัตย์ ก็จงใช้มันดึงดูดคนที่มองหามัน แม้จะไม่หวือหวาและรวดเร็วเหมือนคนเจ้าชู้ แต่อย่าลืมว่าคุณสมบัติบางประเภทไม่สามารถพิสูจน์กันที่ความเร็ว แต่พิสูจน์กันที่ความอึด มั่นคง และอดทน

 

3. “อะไรที่เป็นของเรา มันก็จะเป็นของเรา”

     ปัญหาหนักใจสุดของคนบนโลกนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง ‘ความผิดหวัง’ ซึ่งเกิดจากการที่เราอยากได้อะไรแล้วเราไม่ได้ เช่นเดียวกับในเรื่องความรักความสัมพันธ์ ความผิดหวังที่เกิดได้บ่อยสุดคือ เวลาเรารักเขา แต่เขาไม่ได้รักเรา แน่นอนว่าเป็นใครก็เสียใจ

     แต่ถ้าคุณลองคิดใหม่ โดยเพิ่มทัศนคติข้อนี้ไปอีกข้อว่า “อะไรที่เป็นของเรา มันก็จะเป็นของเรา” เชื่อเถอะว่าคุณจะเริ่มเบาใจลง เหตุผลเพราะคุณจะมองแล้วว่า มีอะไรที่คู่ควรกับคุณรออยู่ แล้วเวลาที่อะไรหลุดลอยไปจากคุณ ก็แปลว่ามันไม่ใช่ของคุณ ฉะนั้น คุณไม่เห็นจะต้องเสียดายมัน แต่ควรดีใจว่า ดีเสียอีก จะได้เข้าใกล้อะไรที่เป็นของเราจริงๆ ได้เร็วขึ้น

     มันก็เหมือนกับการที่คุณเดินเจอรองเท้าหลายคู่ บางคู่คุณใส่แล้วคับเท้า พอเดินก็เจ็บ หรือบางคู่หลวม พอเดินก็หลุดออกจากเท้า หรือกระทั่งบางคู่คุณใส่ได้พอดีเลย แต่เผอิญว่าตอนนั้นมีคนแย่งมันไป แต่เชื่อไหมว่าถ้าคุณเชื่อว่า “อะไรที่เป็นของเรา มันก็จะเป็นของเรา” คุณก็จะค่อยๆ เห็นว่า ต่อให้ใครแย่งไป แต่ถ้ามันเป็นของคุณจริง มันก็จะกลับมาหาคุณอยู่ดี เพราะรองเท้านั้นเป็นของคุณไง มันออกแบบมาให้พอดีกับเท้าคุณ ไม่ใช่เท้าของอีกคน

     เมื่อคิดแบบนี้ คุณจะไม่กลัวเวลาจะเสียอะไรไป เพราะพื้นฐานคุณเชื่อว่ามีสิ่งที่ใช่รอคุณอยู่เสมอ ถ้าพบว่ามันไม่ใช่ คุณก็จะไม่ลังเลที่จะตัดใจจากมัน หรือถ้าคุณกลัวตัดสินใจผิดพลาด แต่เชื่อเหอะ คุณก็ไม่โทษตัวเองมากนัก เพราะกลับไปที่คำตอบเดิม “ถ้าอะไรที่มันเป็นของคุณ มันก็จะเป็นของคุณ” สุดท้ายโลกทั้งใบก็จะช่วยให้คุณกลับมาเจอกันอยู่ดี

     แต่บอกแบบนี้ไม่ได้แปลว่าคุณจะทำอะไรก็ได้กับสิ่งที่เป็นของคุณนะ เพราะอย่าลืมกฎอีกข้อหนึ่งของโลก “ใครทำอะไร ก็จะได้อย่างนั้น”