ในปี 2002 คริส มาร์ติน ฟรอนต์แมนแห่งวง Coldplay ได้พบกับ กวินเน็ธ พัลโทรว์ นักแสดงฮอลลีวูดรางวัลออสการ์ ที่หลังเวทีทัวร์คอนเสิร์ตโปรโมตอัลบั้ม A Rush of Blood to the Head ของ Coldplay ในลอสแองเจลิส และเริ่มสานสัมพันธ์กันหลังจากนั้น ในขณะที่กวินเน็ธยังเดตอยู่กับสตาร์ฮอลลีวูดมากมาย ทั้ง แบรด พิตต์ และ เบน แอฟเฟล็ก
คริสเคยกล่าวหลังจากนั้นว่า กวินเน็ธคือคนรักคนแรกที่เขาจริงจัง ในบทสัมภาษณ์ของนิตยสาร Rolling Stones เคยตีพิมพ์คำพูดของคริสไว้ว่า “การแต่งงานกับใครสักคนที่ประสบความสำเร็จและทรงพลังมากๆ นั้น ทำให้คุณหิวกระหายในการปรับปรุงตนเองอย่างมาก ถ้าภรรยาของคุณเคยเดตกับคนอย่าง แบรด พิตต์ คุณต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ คุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม?”
หลายสัปดาห์หลังจากทั้งคู่ออกเดต ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน บรูซ พัลโทรว์ ผู้อำนวยการโทรทัศน์และภาพยนตร์ และโปรดิวเซอร์ชาวอเมริกัน บิดาของกวินเน็ธได้เสียชีวิตลง นักแสดงหญิงรางวัลออสการ์ต้องต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าในช่วงเวลานั้น เธอต้องหันไปพึ่งคนเคียงข้างอย่างคริสในการปลอบประโลมจิตใจ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ Fix You เพลงจากสตูดิโออัลบั้มที่สาม X&Y บทเพลงแห่งการซ่อมแซมเยียวยาความเศร้า ที่คริสได้แต่งขึ้นมาและมอบให้กับภรรยาของเขาที่ต้องตกอยู่ในห้วงใจสลาย ก่อนที่กวินเน็ธจะตัดสินใจหยุดพักงานแสดงฮอลลีวูด และพยายามเปิดหน้าต่างบานใหม่ด้วยการร่วมเดินทางทัวร์กับ Coldplay เป็นเวลาหกเดือน จากอเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลีย
เค้าโครงของเพลง Fix You ถูกสร้างขึ้นโดยมีเครื่องดนตรีอย่างออร์แกนเป็นหลัก เสริมด้วยเปียโนและกีตาร์ในช่วงครึ่งแรก ก่อนจะเพิ่มความร็อกขึ้นด้วยกีตาร์ไฟฟ้า เบส และกลอง ในช่วงครึ่งหลังของเพลง ระหว่างที่เขียนเพลงนี้ คริสมีความตั้งใจแรกในการนำออร์แกนที่ใช้ในโบสถ์มาใช้บันทึกเสียง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถหาเครื่องดนตรีมาได้ คริสจึงใช้คีย์บอร์ดเก่าที่ บรูซ พัลโทรว์ เคยมอบให้กับลูกสาวมาใช้แทน
“เขา (บรูซ) เอาคีย์บอร์ดนี้มาให้ผมก่อนเขาเสียชีวิตไม่นาน ไม่มีใครเคยเสียบปลั๊กเล่นมันเลย แม้กระทั่งกวินเน็ธ แต่ผมลองเสียบแล้วเล่น ปรากฏว่ามันมีเสียงที่เหลือเชื่อซึ่งผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้น เพลงนี้จึงเป็นผลจากแรงบันดาลใจที่หลั่งไหลออกมาจากเสียงนี้ นี่อาจเป็นเพลงสำคัญที่สุดที่ผมเคยเขียนมาเลยก็เป็นได้”
ส่วนท่วงทำนองเมโลดี้ในช่วงขึ้นต้นเพลงที่ติดหูนั้น คริสเคยกล่าวไว้ว่าได้แรงบันดาลใจจากเพลง Grace Under Pressure ของวงร็อกอังกฤษอย่าง Elbow ในปี 2003
ส่วน ไบลธ์ แดนเนอร์ มารดาของกวินเน็ธ เคยกล่าวในการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งตอนพฤษภาคม ปี 2012 ว่าเธอเองมักต้องเสียน้ำตาทุกครั้งเมื่อได้ยินบทเพลงนี้
นอกจากท่วงทำนองที่ไพเราะ เสียงเมโลดี้ออร์แกนที่คล้ายดั่งซึมลึกเข้าไปในห้วงความรู้สึกครั้งที่ได้ยิน การกระชากอารมณ์ให้พุ่งด้วยความเป็นร็อกในตอนท้าย และเนื้อเพลงแสนมีความหมาย ก็ยิ่งทำให้เพลงนี้ทรงพลัง ทะลุทะลวงเข้าไปถึงกลางใจของผู้ฟังและสร้างอารมณ์ร่วม โดยเฉพาะกับคนที่กำลังอยู่ในห้วงโศกเศร้า ท้อแท้ และยากลำบากในชีวิต ให้ได้รู้ว่าทุกสรรพสิ่งล้วนต้องเผชิญกับความดำมืดในชีวิตทั้งสิ้น แต่ในทุกความสิ้นหวัง ล้วนมีความหวังแฝงอยู่เสมอ เพียงแค่เราต้องหาแสงสว่างนั้นให้เจอ เพื่อเยียวยาและซ่อมแซมจิตใจ
When you try your best but you don’t succeed
When you get what you want but not what you need
When you feel so tired but you can’t sleep
Stuck in reverse
When the tears come streaming down your face
‘Cause you lose something you can’t replace
When you love someone but it goes to waste
What could it be worse?
“เมื่อคุณพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ เมื่อคุณได้บางสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับคุณ เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ไม่อาจข่มตานอนได้ ติดอยู่ในห้วงความคิดเช่นเดิมวนซ้ำไปมา เมื่อน้ำตาไหลอาบบนใบหน้าคุณ เพราะคุณสูญเสียบางสิ่งที่ไม่มีอะไรแทนที่ได้ เมื่อคุณรักใครสักคน แต่ทุกอย่างกลับสูญเปล่าและไร้ค่า จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีก?”
ไม่ว่าคุณจะวางแผนในชีวิตไว้อย่างดีเพียงไร แต่ทุกสิ่งเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ชีวิต ทุกสิ่งอาจไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ถึงแม้ว่าคุณจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่คุณจะทำได้แล้วก็ตาม สิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นในชีวิตได้เสมอ
การที่กวินเน็ธเพิ่งสูญเสียคุณพ่อไปในช่วงเวลานั้น ในมุมหนึ่ง เราทุกคนล้วนมีมุมมองต่อครอบครัวแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ การสูญเสียใครบางคนที่ใกล้ชิดไปจะนำมาซึ่งความรู้สึกใจสลาย และเป็นดั่งกระจกที่สะท้อนให้เราเห็นถึงภาพความสัมพันธ์อื่นๆ ที่ผิดพลาดในชีวิตได้
Lights will guide you home
And ignite your bones
And I will try to ffiix you
“แสงสว่างจะนำทางคุณกลับบ้าน จุดประกายไฟในตัวคุณขึ้นมาอีกครั้งจากข้างใน และฉันจะพยายามเยียวยาคุณ”
หากจะสะท้อนในมุมของคนเขียนเพลง คริสพยายามสร้างความมั่นใจกลับคืนให้แก่ภรรยาของเขา ถึงแม้เขาจะอยู่ในบทบาทของสามี แต่เขาไม่ได้พยายามที่จะมาแทนช่องว่างในจิตใจแห่งการสูญเสียคนในครอบครัวของภรรยา ไม่มีใครแทนที่ใครได้ สิ่งที่เขาทำเป็นเพียงการทำทุกทางให้ดีที่สุดเพื่อเติมเต็มช่องว่างนั้นเท่าที่สามารถทำได้ และช่วยเยียวยาเธอจากความสูญเสียนี้
เช่นกันกับความสัมพันธ์ในชีวิต บางทีเราไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าในหัวใจของคนข้างๆ เรานั้นมีช่องว่างดำมืดลึกล้ำที่เกิดจากความเศร้าและความสูญเสียมากน้อยขนาดไหน การพยายามถมความมืดนั้นอาจกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์และไม่มีวันเต็ม ไม่มีสิ่งใดเอาชนะความมืดได้นอกจากแสงสว่างที่เข้ามาเจือจาง ดังนั้น การพยายามจุดประกายแสงสว่างให้อีกฝ่ายได้มองเห็นถึงความหวังในวันข้างหน้า อาจเป็นหนทางที่ควรทำมากกว่า
And high up above or down below
When you are too in love to let it go
Oh but if you never try you’ll never know
Just what you’re worth
“ไม่ว่ามันจะดีขึ้นหรือแย่ลง เมื่อคุณอยู่ในห้วงความรักที่ดำดิ่งเกินกว่าจะปล่อยใครสักคนไป แต่ถ้าคุณไม่เคยพยายาม คุณจะไม่มีวันรู้หรอกว่าสิ่งใดที่มีค่าที่สุดที่คุณควรได้รับ”
การมีความสัมพันธ์กับใครสักคนสามารถเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมหากทุกอย่างไปได้อย่างราบรื่น เช่นกันที่สามารถเป็นความกดดันได้หากทุกอย่างไม่เป็นอย่างฝัน และเมื่อไหร่ก็ตามที่ความสัมพันธ์นั้นถูกตัดขาด ก็อาจเป็นเรื่องยากที่เราจะปล่อยมันไป มันคือความป่วยไข้ของคนทุกยุคทุกสมัยเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งนี้
อย่างไรก็แล้วแต่ จนกว่าเราจะเรียนรู้ที่จะปล่อยวางหรือให้อภัย เราจะไม่มีวันรู้จักสิ่งที่เรียกว่าบทเรียน และไม่มีทางรู้ได้เลยว่าสิ่งใหม่ที่รอเราอยู่ในวันข้างหน้าคืออะไร บางทีอาจเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิมก็ได้
แม้เรื่องตลกร้ายคือในท้ายที่สุด คริสและกวินเน็ธไม่สามารถจบกันอย่างมีความสุขได้ ภายหลังการแต่งงาน ทั้งคู่เริ่มแยกกันอยู่ กวินเน็ธเคยพูดเรื่องนี้ในปี 2014 ว่า “เราพยายามด้วยกันทั้งคู่มากว่าหนึ่งปี บางคนอาจจะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน บางคนอาจจะแยกกันอยู่ เพื่อดูความเป็นไปได้ในความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน และเราก็ได้ข้อสรุปว่า ในขณะที่เรายังรักกันมากอยู่ เราควรรักษาระยะห่างในการแยกกันอยู่เช่นนี้ไว้” ก่อนที่ทั้งคู่จะยุติความสัมพันธ์สามีภรรยากันไปในปี 2016
ไม่ต่างกับบทเพลงที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยซ่อมแซมเยียวยาหัวใจที่แตกสลาย หากแต่ในเนื้อเพลงท่อนเริ่มกลับคล้ายดั่งล่วงรู้เรื่องราวในวันข้างหน้าอันแสนเศร้าว่า ‘When you try your best but you don’t succeed เมื่อคุณพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่สำเร็จ’ ราวกับเป็นกระจกที่สะท้อนความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่อีกครั้ง ในวันที่มันสิ้นสุดลง
แต่ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเจ้าของบทเพลงจะไม่ได้จบลงที่ตรงความสวยงาม แต่บทเพลงที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาจากความรักและความห่วงใยนั้นจะยังคงอยู่ทำหน้าที่เป็นแสงสว่างเยียวยาหัวใจให้กับผู้คนที่กำลังเผชิญความยากลำบากในชีวิต และได้ฟังอีกต่อไปไม่รู้จบ
ดังเช่นในพระคริสตธรรมคัมภีร์อมตธรรมร่วมสมัย ในบทยอห์น ที่กล่าวว่า ‘แสงสว่างจะส่องเข้ามาในความมืดมิด และความมืดมิดนั้นไม่สามารถเอาชนะได้’
Recommended Tracks
01 Track: In My Place Album: A Rush of Blood to the Head Released: 2002
02 Track: The Scientist Album: A Rush of Blood to the Head Released: 2002