ไม่ใช่เรื่องเกินเลยที่จะนิยามจอห์น เลนนอน ว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยะทางดนตรีที่มีวิสัยทัศน์และพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่งของโลกอย่างแท้จริง หลังผ่านพ้นจากทศวรรษแห่งความสำเร็จในยุค 60 กับสี่เต่าทอง เลนนอนก้าวข้ามสู่ยุค 70 ด้วยการเลือกเดินออกมาทำดนตรีในรูปแบบและอุดมการณ์ที่ตนเองเชื่อ และในยุคนี้เอง เขาได้สร้างสรรค์ผลงานเพลงมาสเตอร์พีซขึ้นมา และยังเป็นบทเพลงอันโดดเด่น เป็นที่รักของแฟนเพลงทั่วโลก และได้รับเกียรติมากมายจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็คือ Imagine บทเพลงที่จินตนาการถึงดินแดนแห่งยูโทเปียที่ยังคงโด่งดังข้ามกาลเวลา เชื่อมโยงและตั้งคำถามกับสังคมแห่งยุคสมัย ซึ่งสะท้อนถึงวิสัยทัศน์อันเหนือกาลเวลา พร้อมผลักให้ชายผมยาวที่มาพร้อมแว่นกลมนามจอห์น เลนนอน กลายเป็นอีกหนึ่งไอคอนแห่งสันติภาพในสายตาแฟนเพลง
Imagine นับเป็นซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเลนนอนตั้งแต่ออกจากสี่เต่าทอง เพลงนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี และเป็นหนึ่งในการบันทึกเสียงที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์มากที่สุดตั้งแต่ถูกปล่อยออกมาในช่วงเดือนตุลาคม ปี 1971 และในช่วงงานมหกรรมโอลิมปิกปี 2012 เพลงนี้ก็ได้รับเกียรติให้แสดงในพิธีปิดการแข่งขันด้วย
ช่วงทศวรรษที่ 70 นอกจากเป็นยุคแห่งสงครามเย็นแล้ว ก็ยังเป็นยุคแห่งการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงของคนหนุ่มสาว และชื่อของเลนนอนเองก็ถือได้ว่าเป็นเสมือนหัวหอกสำคัญของนักปฏิวัติสันติภาพจากบทเพลงและการเคลื่อนไหวในหลายๆ ครั้งของเขา พร้อมกับวลีอันโด่งดังอย่าง ‘WAR IS OVER’ แน่นอนว่ารวมถึง Imagine ที่นิตยสาร Rolling Stone จัดให้เพลงนี้อยู่ในอันดับที่ 3 จาก 500 บทเพลงที่ดีที่สุดตลอดกาล และนิยามเพลงนี้ว่าเป็นของขวัญทางเสียงดนตรีที่เขามอบให้กับโลก โดยยกย่องถึงเมโลดี้อันเรียบง่าย ทว่าสงบสุขและนุ่มนวล Robert Christgau นักเขียนและนักวิจารณ์เพลงคนดัง เคยเรียกบทเพลงนี้ว่า ‘เป็นทั้งบทเพลงแห่งการเคลื่อนไหว และเป็นบทเพลงรักแด่ภรรยาของเขาในเวลาเดียวกัน’
ในแง่ของเนื้อเพลง เลนนอนได้กระตุ้นจินตนาการของคนฟังให้ฝันถึงโลกที่เป็นหนึ่งและสงบสุขโดยปราศจากอุปสรรคขวางกั้น ไม่ว่าเป็นจะเป็นเขตแดน ศาสนา สัญชาติ แน่นอนว่าหากพิจารณาจากโลกแห่งความจริง มันเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสักนิด
แต่จะผิดอะไร หากเราจะลองร่วมฝันถึงดินแดนแห่งนั้นในจินตนาการร่วมกัน… อย่างน้อยแค่สักครั้ง
Imagine there’s no heaven
It’s easy if you try
No hell below us above us only sky
Imagine all the people living for today
“ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีสวรรค์ดูสิ มันง่ายนะถ้าคุณลองพยายามดู ใต้พื้นดินไม่มีนรก เหนือหัวเราก็เป็นเพียงฟ้าคราม ลองจินตนาการดูสิ หากผู้คนมีชีวิตอยู่เพียงเพื่อวันนี้”
แม้จะเป็นเนื้อเพลงที่แสนเรียบง่าย แต่ความหมายกลับลึกล้ำไม่มีสิ้นสุด เลนนอนขอให้เราลองจินตนาการดูว่าไม่มีทั้งสวรรค์หรือนรก เขาบอกให้เราลองพยายามดูสักนิด นั่นเป็นเพราะมนุษย์เราถูกเลี้ยงโดยมีความเชื่อฝังหัวมาตั้งแต่เด็กว่าบนท้องฟ้ามีสวรรค์ ใต้พื้นดินมีนรก และมันเป็นดินแดนแบ่งแยกสำหรับคนดี-คนชั่ว สิ่งเหล่านี้ล้วนตีกรอบความคิดให้มนุษย์เรามุ่งมีชีวิตอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้และวันหลังความตาย มันส่งผลต่อทัศนคติ ความเชื่อ และการกระทำของเรา
แต่ลองจินตนาการดูว่า หากไม่ได้มีสวรรค์หรือนรกให้มุ่งไปในวันสุดท้าย เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เมื่อนั้นมนุษย์เราจะมีการปฏิบัติต่อตนเอง หรือต่อผู้อื่นเปลี่ยนไปอย่างไร
คุณอาจบอกว่า สวรรค์และนรกล้วนทำให้มนุษย์มีความเกรงกลัวและไม่กล้ากระทำผิดต่อกัน แต่ลองมองไปยังโลกทุกวันนี้ มันเป็นเช่นนั้นไหม? แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ทุกคนเปลี่ยนความคิดว่าไม่มีสวรรค์หรือนรกใดๆ แต่แค่ลองจินตนาการในความฝันดูก็ได้, แค่ลองดูก็พอ
Imagine there’s no countries
It isn’t hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too
Imagine all the people living life in peace
“ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีประเทศดูสิ มันไม่ยากเลยถ้าคุณลองดู ไม่มีสิ่งใดให้เราจำเป็นต้องอุทิศชีวิตให้ และไม่ต้องมีศาสนาด้วย ลองจินตนาการดูสิ หากผู้คนได้มีชีวิตอยู่ในสันติภาพ”
ประเทศคือการแบ่งแยกความเป็นชาติ มีการครอบครองดินแดนและการปกครองเป็นของตนเอง นั่นคือจุดที่เลนนอนลองตั้งคำถาม ตั้งแต่อดีตกาล มนุษย์ต้องเสียสละ สูญเสียเลือดเนื้อกี่ครั้งกี่คราไปกับการต่อสู้ในนามของความรักชาติ ของเผ่าพันธุ์ จะเกิดอะไรหากทั้งโลกไม่มีเขตแดนที่เรียกว่าประเทศ ผู้คนจะต้องต่อสู้เพื่อสิ่งเหล่านั้นอีกหรือไม่ ประเทศที่มีอำนาจและร่ำรวยล้วนฉกฉวยผลประโยชน์จากประเทศที่อ่อนแอเสมอ และคำว่าสันติภาพก็เป็นโล่ของความชอบธรรมอันสกปรกที่มหาอำนาจใช้กล่าวอ้างเสมอเช่นกัน
เราอาจพูดว่า ‘ฉันเต็มใจยอมพลีชีพเพื่อประเทศของฉัน’ แต่หากลองจินตนาการดูถึงโลกที่ไม่มีการแบ่งแยกดินแดน เราจำเป็นจะต้องสละชีพเพื่อสิ่งเหล่านั้นอีกไหม?
แน่นอนว่าในโลกทุกยุค ศาสนาคือสิ่งสำคัญที่เป็นดั่งเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับมนุษย์ที่แสนกลวงเปล่า แต่โดยที่ไม่รู้ตัว ศาสนาเองก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากกันผ่านความเชื่อ เลนนอนตั้งคำถามชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไรหากไม่ต้องมีศาสนา? ไม่ว่าความคิดเห็นของคุณจะเป็นอย่างไร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลากหลายความขัดแย้งอันชั่วร้ายมากมายมีต้นกำเนิดหรือเชื้อไฟมาจากความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างกัน
ถ้าเราไม่ต้องมีชีวิตอยู่เพื่อศาสนา แต่มีชีวิตอยู่เพื่อสันติภาพ จะเป็นอย่างไร ลองจินตนาการในความฝันดูก็ได้, แค่ลองดูก็พอ
You may say I’m a dreamer
But I’m not the only one
I hope someday you’ll join us
And the world will be as one
“คุณอาจจะบอกว่าผมเป็นนักฝันเฟื่อง แต่ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกนะ ผมหวังว่าสักวันพวกคุณจะมาร่วมกับเรา แล้วโลกจะหลอมรวมเป็นหนึ่งได้”
ไม่น่าแปลกที่คนที่มีความคิดเช่นเลนนอนจะถูกต่อต้าน ถูกโจมตี ถูกต่อว่า ทั้งในแง่ของการเป็นคนแปลกแยกทางความคิด เป็นนักทำลาย หรือเป็นนักฝันเฟื่องก็ตาม เพราะคงไม่ใช่ทุกคนที่เต็มใจจะยอมรับข้อความแห่งสันติภาพของเขา เลนนอนเคยกล่าวในหนังสือ Lennon In America ของ Geoffrey Giuliano เกี่ยวกับเพลงนี้ไว้ว่า “นี่เป็นเพลงต่อต้านศาสนา ต่อต้านชาตินิยม ต่อต้านประเพณีนิยม ต่อต้านทุนนิยม แต่เพราะเพลงนี้ถูกเคลือบฉาบด้วยน้ำตาล มันจึงได้รับการยอมรับ”
แต่เราทุกคนมีสิทธิ์จะฝันถึงโลกที่สงบสุขมิใช่หรือ? เลนนอนไม่ได้กล่าวในนามของตนเอง แต่เขากล่าวในนามตัวแทนของมนุษย์ทุกคนที่มีความฝัน และปรารถนาจะเห็นโลกแห่งสันติภาพ แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนต้องการความร่วมมือจากทุกคน เขาอาจจะดูบ้าและเพ้อฝันในความหมายถึง ‘ทุกคน’ จริงๆ ก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดอย่างที่เขาบอก ไม่ได้มีแต่เขาที่บ้าและเพ้อฝันแน่ๆ
Imagine no possessions I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man
Imagine all the people sharing all the world
“ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีการครอบครองดูสิ ผมจะแปลกใจมากหากคุณทำได้ ไม่ต้องมีความโลภ ไม่ต้องมีความหิวโหย มีแค่ภราดรภาพของมนุษย์ ลองจินตนาการดูสิ หากผู้คนแบ่งปันโลกแก่กันและกัน”
การครอบครองเป็นส่วนสำคัญของมนุษย์ในทุกยุคสมัย เราล้วนครอบครองสิ่งต่างๆ เพื่อบ่งบอกรสนิยม บ้างก็บ่งบอกฐานะและภาพลักษณ์ทางสังคม เราสะสมเงินทอง สมบัติพัสถาน บ้าน รถยนต์ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำรงความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น เพียงแต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการครอบครองสิ่งต่างๆ ได้ส่งผลต่อลักษณะทางโครงสร้างสังคม ช่องว่างระหว่างคนรวย คนจน และสร้างความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นตามมา
แน่นอนว่าการจะละทิ้งการครอบครองใดๆ ที่เราต่างมีนั้นเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ เลนนอนจึงใช้คำว่า ‘I Wonder If you can’ แต่หากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราสามารถละทิ้งได้อาจเป็น ‘ความโลภ’ หรือความอยากได้อยากมีอยากครอบครองที่มากจนเกินไป เลนนอนเชิญชวนให้เราคิดถึงการแบ่งปันแก่ผู้ด้อยโอกาส นั่นคือวิธีที่เรายุติความหิวโหยของผู้คนได้
อาจจะดูไม่มีทางเป็นไปได้ที่หากวันหนึ่งเหล่าประเทศมหาอำนาจของโลกจะเลือกแบ่งปันความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แก่ประเทศยากจนโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ หรือคนรวยล้นฟ้าจะสละสมบัติทุกอย่างแก่ผู้ยากไร้
แต่หากวันนั้นเกิดขึ้นจริงจะเป็นอย่างไร ลองจินตนาการในความฝันดูก็ได้, แค่ลองดูก็พอ
You may say I’m a dreamer
But I’m not the only one
I hope someday you’ll join us
And the world will live as one
“คุณอาจจะบอกว่าผมเป็นนักฝันเฟื่อง แต่ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวหรอกนะ ผมหวังว่าสักวันพวกคุณจะมาร่วมกับเรา แล้วโลกจะอยู่รวมเป็นหนึ่งได้”
ทุกยุคทุกสมัยมนุษย์เราล้วนแสวงหาสันติภาพและความเป็นหนึ่งเดียวกันของโลกเสมอ แต่เราอาจไม่เคยตั้งคำถามถึงความเชื่อหรือสิ่งที่กำหนดให้ชีวิตเรามุ่งหมายไปทางนั้นเลย
สวรรค์ นรก ประเทศ ศาสนา การครอบครอง… สิ่งเหล่านี้ล้วนกำหนดชีวิตของเรา และแบ่งแยกมนุษย์ออกเป็นจำพวกต่างๆ แน่นอนว่าเป็นเรื่องยากในโลกแห่งความเป็นจริง ที่เราจะลบเส้นแบ่งความเป็นมนุษย์เหล่านี้ออกไป แต่ในโลกแห่งจินตนาการ มันไม่ใช่เรื่องยากแน่ๆ
Imagine there’s no heaven
It’s easy if you try
“ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีสวรรค์ดูสิ มันง่ายนะถ้าคุณลองพยายามดู”
Imagine there’s no countries
It isn’t hard to do
“ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีประเทศดูสิ มันไม่ยากเลยถ้าคุณลองดู”
Imagine no possessions
I wonder if you can
“ลองจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีการครอบครองดูสิ ผมจะแปลกใจมากหากคุณทำได้”
สวรรค์คือแนวความคิด มันง่ายมากที่เราจะปลดปล่อยออกไป ประเทศคือส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตและมันจารึกไว้ในกระดูกของเรา มันไม่ง่ายที่จะปลดปล่อยออกไป การครอบครองเป็นส่วนหนึ่งของภาพสะท้อนความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสละทิ้งมัน
การได้ขบคิดถึงความหมายที่ซ่อนอยู่หลังบทเพลงอันแสนเรียบง่ายแต่สั่นสะเทือนห้วงความคิดนี้เอง ที่ทำให้ Imagine เป็นที่รักและถูกยกย่องในฐานะหนึ่งในเพลงที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ดนตรี
สิ่งที่เลนนอนเขียนในเพลงอาจเป็นจินตนาการอันเพ้อฝันของศิลปินคนหนึ่ง และดูเหมือนไม่มีวันเกิดขึ้นได้บนโลก แต่มันไม่ยากเลยที่คุณจะทำความเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่หลังบทเพลง หากคุณมีหัวใจที่สงสัยและอยากตั้งคำถามสักนิด
ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก ไม่มีประเทศ ไม่มีศาสนา ไม่มีการครอบครอง
ไม่มีวันวาน ไม่มีวันพรุ่ง มีแต่ปัจจุบันที่เราอาศัยอยู่
คล้ายกับภาพเคลื่อนไหวในมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้ที่เลนนอน และโยโกะ โอโนะ ภรรยาของเขาในชุดสีดำ เดินดุ่มเข้าไปในบ้านสีขาวหลังหนึ่งบริเวณห้องโถงอับแสงที่มีเปียโนสีขาววางอยู่ ก่อนที่เลนนอนจะนั่งลงหน้าเปียโน พรมนิ้วลงบนแป้นและขับขานเพลง Imagine ในขณะที่โยโกะ ค่อยๆ เดินไปเปิดหน้าต่างทีละบาน เพื่อให้แสงสว่างค่อยๆ สาดส่องเข้ามา และกลับมานั่งเคียงข้างกันในตอนสุดท้าย
หากคุณไม่กล้าเพ้อฝันถึงวันและโลกที่แตกต่าง แล้วคุณจะพบความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร
Recommended Tracks
01 Track: Give Peace A Chance Album: Live Peace in Toronto 1969 Release: 1969
02 Track: God Album: John Lennon/Plastic Ono Band Release: 1970
03 Track: Instant Karma! Album: Live in New York City Release: 1986