ภาพยนตร์ที่ดีหนึ่งเรื่องอาจจะไม่น่าจดจำเท่าที่ควร หากขาดส่วนผสมที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งอย่างเพลงประกอบภาพยนตร์ไป เพราะนอกจากจะทำหน้าที่เสริมให้ภาพยนตร์ลงตัวและน่าสนใจขึ้นในมิติเชิงความรู้สึกแล้ว เมื่อกาลเวลาผ่าน เพลงประกอบภาพยนตร์เหล่านี้จะคุ้ยเขี่ยกล่องความทรงจำแสนประทับใจจากภาพยนตร์ที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของผู้ชมให้ฟุ้งขึ้นมาอย่างชัดแจ้งได้เสมอ
ลองนึกถึงเพลงอย่าง My Heart Will Go On จาก Titanic (1997), I Don’t Want To Miss A Thing จาก Armageddon (1998), Way Back Into Love จาก Music And Lyric (2007) หรือแม้กระทั่งฟากฝั่งภาพยนตร์ไทยอย่าง แฟนฉัน จาก แฟนฉัน (2003), ช่างไม่รู้เลย จาก เพื่อนสนิท (2005) หรือ กันและกัน จาก รักแห่งสยาม (2007) ดูก็ได้ เพลงประกอบภาพยนตร์เหล่านี้ล้วนมีความสำคัญต่อการเล่าเรื่องในภาพยนตร์ บอกเล่าความรู้สึกของตัวละครหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี
ย้อนไปในปี 2013 มีบทเพลงประกอบภาพยนตร์เพลงหนึ่งที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์คนที่ได้ชมภาพยนตร์จบต้องกลับมานั่งฟังวนไปทั้งวัน (และนักดนตรีในผับแทบทุกคนต้องเอาไปเล่น) นอกจากความไพเราะของตัวบทเพลงที่ช่วยเสริมภาพยนตร์ให้น่าประทับใจแล้ว เนื้อเพลงยังแฝงด้วยคมความคิดอันลึกซึ้งราวปรัชญา และบอกเล่าเรื่องราวการค้นหาความหมายของชีวิตที่เชื่อมโยงกับผู้คนด้วย เพลงที่ว่าก็คือ Lost Stars จากภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้-ดราม่า เรื่อง Begin Again (ชื่อไทย: เพราะรักคือเพลงรัก) ของ จอห์น คาร์นีย์ (John Carney) ผู้กำกับชาวไอร์แลนด์ที่เคยฝากผลงานไว้กับ Once (2007) และ Sing Street (2016) ซึ่งได้รับฟีดแบ็กจากวิจารณ์ส่วนใหญ่ในแง่บวก และกลายเป็นภาพยนตร์ในดวงใจของใครหลายๆ คน
Lost Stars เขียนและโปรดิวซ์โดย เกร็ก อเล็กซานเดอร์ (Gregg Alexander), ดาเนียล บริสบัวส์ (Danielle Brisebois), นิก แลชลีย์ (Nick Lashley) และ นิก เซาธ์วูด (Nick Southwood) ถ่ายทอดโดยฟรอนต์แมนน้ำเสียงเอกลักษณ์แห่ง Maroon 5 อย่าง อดัม เลวีน (Adam Levine) และบันทึกเสียงกันที่ Electric Lady Studios ในกรีนนิช วิลเลจ, นิวยอร์ก (ที่นี่สร้างโดยนักกีตาร์ในตำนานอย่าง จิมี เฮนดริกซ์ และสถาปนิก จอห์น สตอริค เรื่องเล่าคือเฮนดริกซ์มีโอกาสบันทึกเสียงในสตูฯ ที่ตนเองสร้างขึ้นเพียงแค่ 10 สัปดาห์เท่านั้น ก่อนที่จะเสียชีวิต) เพลงนี้บันทึกไว้สองเวอร์ชัน คือ เวอร์ชันของอดัม และนักแสดงสาวในภาพยนตร์อย่าง เคียรา ไนต์ลีย์ (Keira Knightley)
“เป้าหมายคืออยากให้เนื้อเพลงแต่ละท่อนมีความรู้สึกนึกคิดและมีเรื่องราวของมันเอง แต่ก็ยังมีความหมายรวมเป็นความลึกลับบางอย่างของชีวิต ที่เราต่างต้องกระโจนเข้าไปสู่วังวนของมัน พวกเราต่างเป็นดวงดาวอับแสง เปล่งประกายที่เส้นขอบฟ้า” เกร็ก อเล็กซานเดอร์ ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Billboard “นี่อาจจะเป็นเพลงที่เศร้าที่สุดที่ผมเคยเขียนมาตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้”
ในช่วงชีวิตคนเราเมื่อผ่านมาจนถึงจุดหนึ่ง เราเคยมองย้อนกลับไปในบางจุดบางห้วงแล้วรู้สึกเสียดายช่วงเวลานั้นบ้างไหม? ใจความเพลง Lost Stars เปรียบคล้ายกับดวงดาวอับแสงที่พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะเปล่งแสงสว่างให้ได้ ไม่ว่าต้องพยายามสักกี่ครั้ง โดยเฉพาะในช่วงวัยหนุ่มสาวที่หลายคนคงเคยรู้สึกหลงทางกับชีวิต ไม่รู้ทิศทางว่าควรมุ่งดำเนินไปทางไหน ทุกการกระทำดูเหมือนเป็นเพียงความไร้เหตุผลที่มารองรับความเหงาจับขั้วหัวใจเท่านั้น สุดท้ายก็เป็นเพียงการปล่อยวันเวลาให้สูญสลายไปโดยไร้ค่าไร้ความหมาย และแหงนหน้ามองฟ้าโทษโชคชะตา ไถ่ถามพระผู้เป็นเจ้าที่อาจไม่เคยตอบคำถามใดๆ ได้เลย (ในเพลงประกอบภาพยนตร์ Begin Again เพลง A Step You Can’t Take Back ที่ เคียรา ไนต์ลีย์ ร้องไว้ มีท่อนหนึ่งบอกว่า don’t pray to God, cause He won’t talk back)
Please don’t see just a boy caught up in dreams and fantasies
Please see me reaching out for someone I can’t see
Take my hand let’s see where we wake up tomorrow
Best laid plans sometimes are just a one night stand
I’d be damned Cupid’s demanding back his arrow
So let’s get drunk on our tears and
“ได้โปรดอย่ามองว่าฉันเป็นแค่เด็กชายผู้ติดอยู่ในฝันแสนสวยงามอันเลื่อนลอย ฉันเพียงแค่กำลังไขว่คว้าหาใครบางคนที่ยังไม่เคยพบเจอก็เท่านั้น พาฉันไปเถอะ ไม่ต้องสนหรอกว่าพรุ่งนี้เราจะตื่นขึ้นมาที่ไหน บางทีการปล่อยตัวปล่อยใจอาจเป็นแผนการที่ดีก็ได้ แต่ฉันคงเป็นบ้าหากท้ายสุดความรักที่ได้มาต้องกลับคืนไป และเป็นเพียงความรักชั่วข้ามคืน ฉะนั้น มาเถอะ มาเมามายกันไปกับคราบน้ำตา”
ในแง่ความรู้สึกช่วงหนุ่มสาว เราต้องการเปล่งประกาย ต้องการมีคุณค่า และไขว่คว้าหาการยอมรับ สิ่งเหล่านี้ส่งผลมาสู่การกระทำไร้เหตุผลหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต เนื้อเพลงในช่วงท่อนแรกนี้คล้ายกับการประชดของความรักในวัยหนุ่มสาว บางทีเรามั่นใจในตนเองมาก แต่เนื้อเพลงก็ยังแฝงความไม่มั่นใจในท่อน ‘Take my hand’ ที่ดูเป็นการปล่อยตัวปล่อยใจให้กับใครก็ได้ ซึ่งอาจสะท้อนภาวะเปลี่ยวเหงาและว่างเปล่าในหัวใจของหนุ่มสาวที่ถึงขีดสุด จนต้องหาใครก็ได้มาถมช่องว่างในหัวใจ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ปรากฏก็เป็นเพียงแค่ความสุขชั่วครู่ชั่วคราว และไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ เลย ซ้ำร้ายอาจขุดหลุมในหัวใจให้ลึกลงไปด้วยซ้ำ
God, tell us the reason youth is wasted on the young
It’s hunting season and this lamb is on the run
Searching for meaning
But are we all lost stars, trying to light up the dark?
“พระเจ้า, ได้โปรดบอก ทำไมเหล่าหนุ่มสาวต้องสูญเวลาช่วงนี้ไปอย่างไร้ความหมาย เหมือนกับฤดูล่าที่แกะก็เอาแต่วิ่งหนี คล้ายกับเราที่พยายามแสวงหาความหมายชีวิต หรือเราเป็นเพียงดาวอับแสงที่พยายามจะเปล่งประกายให้ได้ท่ามกลางความมืดมิด”
เพราะแท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์ช่างอ่อนแอและเปราะบาง สุดท้ายจึงหนีไม่พ้นการหันไปพึ่งสิ่งที่เรา ‘คิด’ ว่าใหญ่กว่าตนเองเสมอ พระเจ้าในบริบทนี้ก็คงเหมือนกับคนเราที่มักไถ่ถามอ้อนวอน (หรือบางครั้งก็สารภาพผิด) กับพระองค์ ด้วยหวังจะได้คำตอบเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกผิด หรือได้คำตอบของความหมายที่ตามหา
ท้ายที่สุด เราต้องเผชิญกับผลลัพธ์จากการตัดสินใจของเราเสมอ หลายครั้งเราต้องเสียดายช่วงเวลามีค่าที่สูญไปในช่วงหนุ่มสาวโดยที่ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ และไม่สมหวังกับเรื่องใดเลย (แน่นอนว่าเรามักคิดไม่ได้หรอกในตอนนั้น) เพราะในห้วงเวลานั้น การแสวงหาความหมายของชีวิตช่างเป็นเรื่องยาก
Who are we? Just a speck of dust within the galaxy
Woe is me if we’re not careful turns into reality
Don’t you dare let our best memories bring you sorrow
Yesterday I saw a lion kiss a deer
Turn the page maybe we’ll find a brand new ending
Where we’re dancing in our tears and
“เราคือใครกันแน่? เป็นเพียงแค่เศษฝุ่นปลิดปลิวท่ามกลางกาแล็กซีหรือเปล่า คงมีแต่ทุกข์หากไม่พยายามตั้งสติคิดให้ดีถึงความเป็นจริงของชีวิต อย่าได้พลั้งเผลอปล่อยให้ความทรงจำที่ดีมาทำร้ายเธอนะ เมื่อวานฉันได้เห็นเรื่องราวแสนเหลือเชื่อ มันก็เหมือนการพลิกหน้าหนังสือต่อไป เธออาจจะได้พบความหมายและตอนจบใหม่ที่คาดไม่ถึงก็ได้ ดั่งเช่นเราอาจได้เต้นรำไปพร้อมน้ำตาด้วยกัน”
คำถามว่าเราคือใครถูกไถ่ถามมาทุกยุคสมัย นั่นหมายความว่ามนุษย์ล้วนพยายามดิ้นรนแสวงหาความหมายของชีวิตเสมอ ส่วน Woe is me เป็นวลีที่หมายความว่า ทุกข์ เศร้าเสียใจ (จากไบเบิลโยบ บทที่ 10 ข้อ 15 ที่มีคำว่า Woe unto me) สองท่อนนี้อาจหมายความว่าบางครั้งการพยายามแสวงหาความหมายของชีวิตก็เป็นความทุกข์ การมีสติคิดให้ดีในแต่ละการกระทำเป็นจึงเป็นสิ่งที่ควรตระหนักอยู่เสมอ
Lion kiss a deer หรือสิงโตจุมพิตกวาง เป็นภาพที่ประหลาดและไม่น่าเกิดขึ้นได้ แต่การเปรียบเทียบเช่นนี้ในบทเพลงก็ดูราวกับเป็นแสงสว่างในชีวิตได้เช่นกัน การบอกเป็นนัยว่าภาพเหลือเชื่อที่ได้เห็นก็เหมือนกับการพลิกหนังสือหน้าถัดไป เราอาจพบเรื่องราวใหม่ๆ ได้เสมอ หากเปรียบกับชีวิตก็คงเป็น ‘จุดพลิก’ ที่เราต่างต้องหาให้เจอ เพื่อสุดท้ายแล้วเราจะสามารถทำความเข้าใจชีวิตได้ และเปลี่ยนแปลงบทจบของหนังสือชีวิตเราได้อย่างที่ใจปรารถนา
I thought I saw you out there crying
I thought I heard you call my name
I thought I heard you out there crying
Just the same
“ฉันคิดว่าฉันเห็นเธอร้องไห้อยู่ข้างนอกนั้นนะ ฉันคิดว่าฉันได้ยินเธอร้องเรียกชื่อฉัน ไม่ต่างกับฉันหรอก”
เมื่อยามทุกข์ จงรู้ไว้ว่าเราไม่ได้เป็นคนเดียวที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ ในเมื่อเราเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งในโลกแสนกว้างใหญ่ ผู้คนนับล้านที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เดียวกัน เบื้องหลังใบหน้าของพวกเขาก็ล้วนต้องเผชิญความสุข ความทุกข์ ความไม่มั่นคง การแสวงหาความหมายของชีวิต ไม่ต่างกับเรา
ความแตกต่างคงเป็นเพียงว่าเราแต่ละคนจะปล่อยเวลาที่ให้สูญเสียไปอีกเท่าไหร่ กว่าที่จะเริ่มตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของความหมายชีวิต
แท้จริงแล้วอาจเป็นเรื่องธรรมดาสุดสามัญที่ทุกคนต่างต้องเผชิญช่วงเวลาแห่งการหลงทาง เหมือนเหล่าดวงดาวอับแสงที่พยายามเปล่งประกายแสงออกมา สิ่งสำคัญอาจเป็นการเลิกมองออกไปข้างนอกแต่หันกลับมาสำรวจในหัวใจของตนเองอย่างจริงจังว่าในทุกๆ วันเราตื่นขึ้นมาเพื่อสิ่งใด เลิกยึดติดอดีต เลิกกังวลอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และให้คุณค่ากับความหมายเล็กๆ ในแต่ละวันของชีวิต
ลองเริ่มเปลี่ยนมุมมองจากสิ่งง่ายๆ รอบตัว บางทีความหมายของชีวิตที่แสวงหามาเป็นเวลานานอาจอยู่ใกล้ตัวอย่างคาดไม่ถึงก็ได้
Recommended Tracks
01 Track: A Step You Can’t Take Back Album: Begin Again – Music From And Inspired By The Original Motion Picture Release: 2013
02 Track: No One Else Like You Album: Begin Again – Music From And Inspired By The Original Motion Picture Release: 2013
03 Track: Like A Fool Album: Begin Again – Music From And Inspired By The Original Motion Picture Release: 2013