Robbers

Robbers | บางครั้งการดื้อดึงในความสัมพันธ์เป็นเพียงอาชญากรรมที่ปล้นความสุขของกันและกัน

ช่วงเดือนกันยายนปีนี้ แฟนเพลงชาวไทยกำลังตื่นเต้นที่จะได้พบกัน The 1975 (เดอะไนน์ทีนเซเวนตีไฟฟ์) วงพ็อพร็อกจากเมืองแมนเชสเตอร์ หลังจากจองบัตรกันยาวนานมาตั้งแต่ปลายปีก่อน

The 1975 เป็นวงที่ได้รับความนิยมจากแฟนเพลงสากลในบ้านเรามากขึ้นเรื่อยๆ โดยหนึ่งในเพลงที่ทำให้พวกเขาเริ่มเป็นที่รู้จักก็คงหนีไม่พ้น Robbers เพลงที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ทั้งตัวเพลงเองและมิวสิกวิดีโอที่กำกับโดย ทิม แมตเทีย (Tim Mattia) ซึ่งปล่อยออกมาในปี 2014 เป็นซิงเกิลที่หกจากอัลบั้มที่มีชื่อเดียวกับชื่อวง และสามารถไต่ไปอยู่อันดับสูงสุดที่ 179 ใน UK Singles Chart ในปีเดียวกัน

     Robbers เล่าเรื่องคู่รักสองคนที่ไม่ดีพอต่อกัน แต่ทั้งคู่ยังไม่สามารถยุติความสัมพันธ์ได้ และเปรียบเปรยว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นดั่งการปล้นความสุขของกันและกันไป ตัวมิวสิกวิดีโอที่คล้ายหนังสั้นก็ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์แนวอาชญากรรมโรแมนติก เรื่อง True Romance ในปี 1993 ของ เควนติน ทารันติโน (Quentin Tarantino) โดยได้นำบุคลิกของตัวละครของ แพทริเซีย อาร์เควตต์ (Patricia Arquette) ที่รับบทเป็น แอละแบมา อาร์ลีย์ (Alabama Worley) มาเป็นต้นแบบ

 

Robbers

 

     แมตธิว ฮีลลีย์ หรือที่สาวก The 1975 รู้จักกันในนาม ‘แมตต์’ หรือ ‘แมตตี้’ เคยพูดถึงเพลงนี้ไว้ว่า เขาหมกมุ่นไปกับความคิดที่อยู่เบื้องหลังคาแร็กเตอร์ที่ แพทริเซีย อาร์เควตต์ เล่นไว้อย่างหนักมากในตอนที่มีอายุได้ 18 ปี “มันเป็นความปรารถนาอย่างรุนแรงของเจ้าเด็กเลวที่อยู่ในหนัง มันมีความดึงดูดทางเพศมากๆ และเป็นสิ่งที่ผมหมกมุ่นอยู่ในตอนนั้น” เขากล่าวเสริมเกี่ยวกับเพลง Robbers ไว้ด้วยว่ามันเกี่ยวกับการปล้นที่ผิดพลาด “เด็กผู้หญิงที่ถูกครอบงำโดยแฟนหนุ่มที่เป็นนักฆ่า ลองคิดดูสิ มันเป็นไอเดียที่โรแมนติกมากเลยนะ”

     อานุภาพของความรักกับความหลงใหลนั้นรุนแรงมาก ลองจินตนาการถึงใครบางคนที่คุณเคยตกหลุมรักและเฝ้าถวิลหาใบหน้าของเขา (หรือเธอ) ดู มันสามารถแปรเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของคุณให้ดำดิ่งลงลึก หรือพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุดได้อย่างน่าประหลาด และบางครั้งก็น่ากลัว เพียงแต่เมื่อวันหนึ่งที่ความจริงเริ่มปรากฏ เรารับรู้ถึงความบกพร่องในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน วันนั้นเราจะตัดสินใจต่อความสัมพันธ์ของเราเช่นไร จะเดินต่อไป หรือจะหั่นความสัมพันธ์ทิ้งไว้แค่ตรงนั้น

 

She had a face straight outta magazine

God only knows but you’ll never leave her

Her balaclava is starting to chafe

When she gets his gun he’s begging, babe stay, stay, stay, stay, stay

“ใบหน้าเธอช่างงดงามราวกับหลุดออกมาจากนิตยสาร พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ว่าคุณไม่มีทางทิ้งเธอไปได้หรอก แต่หมวกไอ้โม่งของเธอขยับหลุด และตอนที่เธอได้ปืนของเขาไป เขาขอร้องเธอว่า ‘ที่รัก, ได้โปรดอยู่ต่อเถิด’”

 

     คงไม่ต่างจากคนทั่วไป ในชั่วยามเริ่มต้นที่เราได้ตกหลุมรักใครสักคน เรามักชื่นชมในความเป็นเขา คล้ายดั่งเป็นการใช้ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล และไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายหรือดี เรามักจะมีพื้นที่ว่างสำหรับการให้อภัยอยู่เสมอ ดูช่างเป็นความรักไร้เงื่อนไข

     แต่การเปรียบเปรยในเนื้อเพลงถึงหมวกไอ้โม่งที่เริ่มขยับ นั่นเป็นเพราะความอึดอัดเริ่มถาโถมเข้ามาในความรู้สึกภายใต้ ‘หน้ากาก’ ชิ้นนั้น และเมื่อหมวกหลุดออก สิ่งที่ปรากฏก็คือความเป็นจริงในความสัมพันธ์ ความเพอร์เฟ็กต์ในจุดเริ่มต้นเริ่มพังทลาย เราเริ่มเห็นข้อบกพร่อง เริ่มรู้สึกราวกับว่าเราเป็นเพียงกาฝากของกันและกัน เป็นเพียงภาระที่อยู่ข้างกายกันเท่านั้น ปืนอาจหมายถึงการยุติความสัมพันธ์ที่อาจเป็นทางออก เพียงแต่ปัญหาที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อาจเป็น ‘ความผูกพัน’ หรือ ‘พันธสัญญา’ ที่ทำให้ยังคงไม่อาจแยกขาดจากกัน และยังฝืนทนประคองรัก ท่ามกลางสภาวะความคลุมเครือ ขณะที่มันก็ค่อยๆ กัดกินจิตวิญญาณระหว่างคนสองคนไปทีละนิด

 

I’ll give him one more time

We’ll give you one more ffiight

Said one more lie

Will I know you

“ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้ง เราจะให้โอกาสในการทะเลาะกันอีกสักครั้ง พูดคำโกหกมาอีกครั้งสิ ฉันจะได้รู้จักเธอใช่ไหม”

 

     การให้โอกาสกันและกันในบางคราวอาจฟังดูเป็นเรื่องดีที่จะช่วยให้ความสัมพันธ์ได้เกิดการฟื้นฟู แต่ในบางคราวมันเป็นเพียงการยืดระยะเวลาของความทุกข์ออกไป และในบางคราวมันเป็นเพียงการเปิดโอกาสให้การโกหกเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเพียงเท่านั้น

 

Now if you never shoot, you’ll never know

And if you never eat, you’ll never grow

You’ve got a pretty kinda dirty face

When she’s leaving your home she’s begging you, stay, stay, stay, stay, stay

“ถ้าคุณไม่ยิงออกไปตอนนี้ คุณจะไม่มีวันได้รู้ และถ้าคุณไม่ได้กิน คุณก็ไม่มีวันเติบโต ใบหน้าของเธอตอนนี้เริ่มดูไม่ได้แล้วนะ และในตอนที่เธอจะต้องออกจากบ้านคุณไป นั่นหมายถึงเธอขอร้องให้คุณได้อยู่ต่อไป”

 

     คำว่า ‘ยิงออกไป’ ที่ดูมีความรุนแรงอาจหมายถึง ‘การแยกจากกัน’ ถ้าคุณไม่ลองแยกจากกัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่ามันผิดหรือถูก บางครั้งเราจำเป็นต้องลองเสี่ยงดูเพื่อให้ได้รู้ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น เพราะไม่ว่าอย่างไร มันอาจจะดีกับความสัมพันธ์ที่คลุมเครือและหน่วงระหว่างคนสองคน

     ในบางครั้ง การกินอาหารหมายถึงการที่คุณจะได้รับสารอาหารบางอย่างเพื่อเจริญเติบโต ในความสัมพันธ์ก็เช่นกัน สารอาหารจากหลายแหล่งอาจเปรียบเหมือนความสัมพันธ์ผิดถูกที่ได้เคยลอง และเป็นบทเรียนรู้สำคัญของการเติบโตไปในโลกใบนี้ในวันข้างหน้า

 

 

I’ll give you one more time

We’ll give you one more ffiight

Just said one more line

There’ll be a riot, ’cause I know you

“ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้ง เราจะให้โอกาสในการทะเลาะกันอีกสักครั้ง พูดมาอีกสักประโยคสิ ระเบิดจะได้ลงแน่ เพราะฉันรู้จักเธอดี”

 

     แน่นอนว่าในบางครั้งการเปิดโอกาสให้กันและกันเป็นเพียงลูปของความขัดแย้งที่วนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และดูไร้ประโยชน์ที่สุด เพราะคนสองคนอาจรู้นิสัยของกันและกันดี หากต้องพยายามประคับประคองไปเรื่อยๆ ก็อาจเป็นเพียงการซ้ำเติมบาดแผลเดิมให้ช้ำลงไปเท่านั้น

 

Well, now that you’ve got your gun

It’s much harder now the police have come

And I’ll shoot him if it’s what you ask

But if you just take off your mask

To ffiind out that everything’s gone wrong, wrong, wrong

“ตอนนี้คุณมีปืนของตัวเองแล้วล่ะ แต่ดูจะยากเย็นเสียแล้วเพราะตำรวจกำลังมา และฉันจะยิงเขาซะถ้านั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการ แต่ถ้าคุณแค่ถอดหน้ากากนั่นออก คุณจะได้เห็นว่าทุกอย่างมันผิดพลาดไปหมด”

 

     ในความสัมพันธ์ เราล้วนมีปืนของตัวเอง นั่นคือความสามารถในการพิจารณาที่จะยุติความสัมพันธ์ได้ทุกเมื่อ ตำรวจสะท้อนถึงความเป็นจริงที่กำลังจะมาถึงในความสัมพันธ์ ความเลวร้ายของโลกที่พร้อมจะถล่มทำร้ายคุณได้ และคำพูดของสาธารณชนทั้งหลายที่พร้อมจะโจมตีความสัมพันธ์ที่พวกคุณเป็นผู้ก่อร่างสร้างขึ้นมา โดยไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลและเบื้องหลังของความสัมพันธ์ที่แท้จริงนั้นจากพวกคุณ

 

Now everybody’s dead

And they’re driving past my old school

And he’s got his gun, he’s got his suit on

She says, babe, you look so cool

“ตอนนี้ทุกคนได้ตายไปหมดแล้ว และพวกเขากำลังขับรถผ่านโรงเรียนเก่าของผม เขามีปืนอยู่ในมือ และมีชุดสูทตัวเก่งอยู่ แล้วเธอก็พูดว่า ที่รัก คุณเท่มากเลย”

 

     เมื่อความสัมพันธ์เกิดขึ้นและดำเนินไป ไม่มีใครที่จะเป็นเช่นเดิม เราล้วนมีการเปลี่ยนแปลงทั้งมุมมอง ความคิด และการกระทำ เราย่อมไม่ใช่บุคคลเดิมเหมือนในวันแรกที่ได้พบกัน ประสบการณ์ระหว่างกันและกันได้หล่อหลอมตัวตน ทัศนคติที่มีต่อกันให้เปลี่ยนไป ปืนและความตายในเนื้อเพลงอาจตีความได้ว่า เราไม่มีวันย้อนกลับไปในวันวานได้อีกต่อไปแล้ว ส่วนชุดสูทก็อาจหมายถึงว่า ไม่ว่าอย่างไร การเดินทางในบทต่อไปกำลังจะต้องเริ่มขึ้นในที่สุด

 

Robbers

 

     “ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายในวันวานนั้น สิ่งที่ฉันได้ยินคือเสียงสั่นสะเทือนราวฟ้าผ่าของปืน สิ่งที่ฉันได้กลิ่นคือความรุนแรงที่ลอยอวลอยู่ในอากาศ ฉันมองกลับไปและประหลาดใจกับความคิดของฉันในวันนั้นมันช่างชัดเจนและเป็นความจริง มีสามคำที่แวบเข้ามาในหัวของฉันไม่รู้จบ มันเล่นวนเวียนซ้ำราวกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ชำรุด: คุณเจ๋งมาก, คุณเจ๋งมาก, คุณเจ๋งมาก” —True Romance, 1993

     ไม่ว่าวันใดวันหนึ่งความสัมพันธ์ของคนเราต่างต้องดำเนินมาถึงจุดจุดหนึ่งในการเปิดเปลือยความจริงภายใต้ความรัก และเผยรอยตำหนิของคนสองคนแทบทั้งสิ้น เมื่อถึงวันนั้น คำตอบคงอยู่ระหว่างคนสองคนว่าจะตัดสินใจเดินหน้าต่อหรือหยุดความสัมพันธ์

     บางทีการยุติความสัมพันธ์อาจฟังดูเลวร้ายและไม่มีใครอยากต้องพบเจอ แต่การพยายามฝืนไปต่อ นั่นต่างหากคือความเลวร้ายไม่ต่างจากอาชญากรรม

     เพียงแต่สิ่งที่ถูกปล้นไปนั้นอาจไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นความสุขในชีวิต

 


Recommended Tracks

01 Track: A Change of Heart Album: I Like It When You Sleep, for You Are So Beautiful yet So Unaware of It Released: 2016

02 Track: Somebody else Album: I Like It When You Sleep, for You Are So Beautiful yet So Unaware of It Released: 2016

03 Track: Sincerity Is Scary Album: A Brief Inquiry into Online Relationships Released: 2018