หากลองให้คอเพลงยกชื่อของศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรงและน่าจับตาในแวดวงดนตรีระดับสากลปัจจุบัน ชื่อของ ชอว์น เมนเดส (Shawn Mendes) ย่อมต้องถูกเอ่ยถึงอย่างแน่นอน ใบหน้าคมคายได้รูป รอยยิ้มมีเสน่ห์ ส่วนสูงนายแบบ น้ำเสียงเอกลักษณ์ เป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกของศิลปินมากความสามารถจากแคนาดาคนนี้เท่านั้น เพราะสิ่งที่พาเด็กหนุ่มวัยเพียง 21 ปี กลายเป็นนักร้องขวัญใจคนทั้งโลกได้ (โดยเฉพาะสาวๆ) คือการแสวงหาโอกาสและทักษะความสามารถทางด้านดนตรีของเขาล้วนๆ
ย้อนกลับไปในเดือนสิงหาคม ปี 1998 ชอว์น ปีเตอร์ ราอูล เมนเดส (Shawn Peter Raul Mendes) เกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง ที่พิกเคอริง (Pickering) เมืองโทรอนโต (Toroto) รัฐออนแทรีโอ (Ontario) ประเทศแคนาดา พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจมีเชื้อสายโปรตุเกส ในขณะที่แม่เป็นชาวอังกฤษ มีอาชีพเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ มีน้องสาวหนึ่งคน และเติบโตมากับครอบครัวเคร่งศาสนา
ช่วงวัยเด็กขณะที่อยู่โรงเรียน ชอว์นถือเป็นเด็กกิจกรรมคนหนึ่ง เขาเล่นทั้งฮอกกี้น้ำแข็ง ฟุตบอล รวมไปถึงเข้าร่วมชมรมนักร้องประสานเสียงของโรงเรียนมัธยม ที่สำคัญ เขายังมีโอกาสได้ฝึกซ้อมการแสดงจากการเล่นละครเวทีโรงเรียน และเข้าร่วมการออดิชันในช่องดิสนีย์ของโตรอนโตอีกด้วย (จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาจึงมักปรากฏตัวพร้อมบุคลิกที่ดูดีเสมอ)
ชอว์นเริ่มต้นเรียนรู้การเล่นกีตาร์ด้วยตนเองจากการดูวิดีโอสอนเล่นกีตาร์ในยูทูบตอนอายุ 14 ปี หลังจากนั้นไม่ถึงปี เขาก็เริ่มโพสต์วิดีโอคัฟเวอร์เพลงศิลปินลงในช่องยูทูบ ก่อนที่ในปี 2013 ที่เขามีอายุครบ 15 ปี จะเริ่มกลายเป็นที่สนใจจากผู้ชมการคัฟเวอร์เพลง As Long as You Love Me ของศิลปินรุ่นพี่ชาวแคนาดาอย่าง จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ผ่านแอพพลิเคชัน VINE และกลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน โดยวิดีโอของเขามีคนกดไลก์กว่าหนึ่งหมื่นคน และเริ่มมีคนติดตามเป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะเพิ่มจำนวนเป็นล้านในช่วงเพียงไม่กี่เดือน และกลายเป็นนักดนตรีที่มีคนติดตามมากที่สุดใน VINE เป็นอันดับที่ 3
ในโลกออนไลน์นี้เอง ที่ความโด่งดังของชอว์นไปเตะตาผู้จัดการศิลปินอย่าง แอนดรูว์ เกิร์ธเลอร์ (Andrew Gertler) และพาเขาไปที่ค่าย Island Record ก่อนจะเซ็นสัญญากันอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม ปี 2014 เริ่มปล่อยซิงเกิลแรกกับเพลง Life of the Party ซึ่งทะยานขึ้นไปสู่อันดับที่ 24 ในชาร์ตของ US Billboard Top 100 ส่งผลให้เขากลายเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่สามารถขึ้นไปติดท็อป 25 ได้ตั้งแต่เดบิวต์ และได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 25 วัยรุ่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในปี 2014
หลังจากนั้นชื่อเสียงของชอว์นเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น มีอัลบั้มที่ติดอันดับชาร์ตหลายแห่งทั่วโลก ทั้งออสเตรเลีย แคนาดา เม็กซิโก เบลเยียม เป็นต้น ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี ครั้งที่ 61 หลายซิงเกิลของเขาประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ หนึ่งในนั้นคือเพลงที่แฟนเพลงชาวไทยน่าจะรู้จักกันดีอย่าง Stitches จากเดบิวต์สตูดิโออัลบั้ม Handwritten ในปี 2015 ที่ได้รับรางวัลแพลตินัมถึง 7 รางวัล
Stitches เป็นเพลงซิงเกิลแรกที่ชอว์นบันทึกหลังจากเซ็นสัญญากับ Island Records เขียนโดย เดเนียล ปาร์เกอร์ (Daniel Parker) และ เท็ดดี้ เกย์เกอร์ (Teddy Geiger) ความจริงแล้วชอว์นรักที่จะได้ร้องเพลงที่ตนเองแต่งมากกว่า ดังนั้น เขาจึงลังเลที่จะบันทึกเสียงเพลงนี้ในทีแรก เพราะไม่ต้องการจะร้องเพลงที่ตนเองไม่ได้เป็นคนเขียน
“ตอนนั้นผมประมาณว่า ‘เอาล่ะ ไหนลองให้ผมลองฟังก่อน’ แต่พอหลังได้ฟังเสร็จ ผมก็ตกหลุมรักมันทันทีเลย” ชอว์นให้สัมภาษณ์กับ Radio.com
“มันไม่ง่ายนะที่จะทำให้เพลงฮิตในคลื่นวิทยุ คุณเองคงสัมผัสความแตกต่างระหว่าง Stitches กับเพลงอื่นๆ ของผมได้ เพลงนี้บ่งบอกความเป็นผมมากๆ และมันเชื่อมโยงผมกับแฟนเพลงในแบบที่อยากให้เป็นด้วย ช่างรู้สึกดีจริงๆ”
ส่วน เดเนียล ปาร์เกอร์ เล่าช่วงเวลาที่แต่งเพลงนี้ไว้ว่า “ผมพิมพ์คำว่า Stitches ลงในโทรศัพท์มือถือ แต่ยังไม่รู้ว่าจะใส่ลงไปในท่อนในดี ก็คงเหมือนกับนักแต่งเพลงหลายๆ คนนั่นแหละ ผมเขียนคำ หัวข้อ คอนเซ็ปต์ หรืออะไรก็ตามที่เป็นไอเดียให้กับเพลงทิ้งไว้เสมอ ตอนนั้นผมลองเอาคำนี้ไปปรึกษากับเท็ดดี้ จู่ๆ ท่อน ‘Now without your kisses, I’ll be needing stitches’ ก็โผล่เข้ามา เราจึงรีบสร้างเมโลดี้เพลงขึ้นมา ก่อนที่จะถูกขัดเกลาจนกลายเป็นเพลงนี้ในที่สุด”
ความโดดเด่นของเพลง Stitches นั้น ถึงแม้จะมีจังหวะดนตรีที่ฟังดูคึกคัก แถมยังใช้เสียงกีตาร์โปร่งเป็นตัวดำเนินเพลง หากแต่เนื้อเพลงกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและบาดแผลจากความรักที่รวดร้าวจากคำพูด รวมถึงการเมินเฉยของคนรักที่ทิ้งให้อีกฝ่ายต้องจมดิ่งอยู่กับห้วงทุกข์ วนเวียนไปมา และไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากคนรัก แม้อีกฝ่ายจะทำร้ายจิตใจมากขนาดไหนก็ตาม
I thought that I’ve been hurt before
But no one’s ever left me quite this sore
Your words cut deeper than a knife
Now I need someone to breathe me back to life
“ฉันคิดว่าฉันเคยเจ็บปวดมามากแล้ว แต่กลับไม่มีใครเลยที่ทำฉันให้รวดร้าวเช่นนี้มาก่อน คำพูดของเธอกรีดแทงลงมาดั่งคมมีด และตอนนี้ฉันต้องการใครสักคนช่วยต่อลมหายใจให้ฉันอีกครั้ง”
ท่อนแรกเนื้อเพลงพยายามเปรียบเทียบความเจ็บปวดทางความรู้สึกกับความรุนแรงของคมมีดที่กรีดแทงลงมา อดีตคนรักคือสาเหตุที่ทำให้เขาปวดร้าว และเป็นความเจ็บปวดทางอารมณ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยพบมา คำพูดของคนที่รักคือคมมีดที่กรีดกระหน่ำทิ่มแทงความรู้สึก ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดมากยิ่งกว่าการกระทำใดๆ ทางกายภาพที่แท้จริงเสียอีก และเมื่อถึงจุดที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าถึงที่สุด เขาจำต้องอ้อนวอนใครสักคนมาช่วยให้หลุดพ้นจากความรวดร้าวนี้
Got a feeling that I’m going under
But I know that I’ll make it out alive
If I quit calling you my lover
Move on
“รู้สึกได้ว่าฉันกำลังจมดิ่งลงไป แต่ก็รู้ว่าท้ายสุดฉันจะรักษาชีวิตไว้ได้ ถ้าฉันเลิกเรียกเธอว่าที่รัก แล้วตัดใจก้าวต่อไป”
เนื้อเพลงท่อนนี้ทำให้นึกถึงเพลง Air ของชอว์นที่เปรียบเทียบความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวกับการหายใจไม่ออกจากการจมน้ำ (น่าสนใจว่าเพลงของเขามักมีการเปรียบเทียบเช่นนี้ ชอว์นเคยเปิดใจกับสาธารณะชนว่าเขาต้องต่อสู้กับโรควิตกกังวลและต้องเข้ารับการบำบัด) ท่อนนี้บรรยายถึงการตกเป็นเหยื่อของคำพูดที่ทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย และทำให้ต้องจมดิ่งไปกับคำพูดนั้น อย่างไรก็ตาม ความหวังเดียวที่มองเห็นได้ก็คือการ ‘เลิกรา’ กับอีกฝ่ายเท่านั้น และก้าวเดินต่อไป
You watch me bleed until I can’t breathe, shaking
Falling onto my knees
And now that I’m without your kisses
I’ll be needing stitches
Tripping over myself, aching
Begging you to come help
And now that I’m without your kisses
I’ll be needing stitches
“เธอมองดูฉันหลั่งเลือดจนกระทั่งหมดแรงหายใจ ตัวสั่นเทิ้ม หมดเรี่ยวแรง และตอนนี้ฉันไม่มีรอยจูบนั้นของเธออีกแล้ว ฉันจะต้องเย็บบาดแผลนี้ ช่างน่าอนาถที่ต้องอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากเธอ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีรอยจูบของเธออีกแล้ว ฉันจึงต้องเยียวยาบาดแผลนี้”
การสูญเสียความรักเป็นเรื่องยากเสมอ หลายครั้งเราไม่อยากปล่อยความรักที่มีอยู่ไป แม้มันจะทำร้ายเราก็ตาม นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาโศกเศร้า เรามักมองไม่เห็นสิ่งอื่นที่อยู่รอบกาย จนปฏิเสธความจริงทั้งหมดออกไป ทั้งที่เราอาจต้องการใครสักคนที่จะช่วยมารักษาหัวใจที่แตกสลาย (คำว่า Stitches หมายถึง การเย็บแผล ซึ่งอุปมาถึงหัวใจที่ยับเยินเพราะถูกคำพูดทำร้ายจิตใจจนเกิดบาดแผล และต้องการการเยียวยา หรือการเย็บแผลให้ปิดสนิทอีกครั้ง)
Just like a moth drawn to a ffllame
Oh, you lured me in I couldn’t sense the pain
Your bitter heart cold to the touch
Now I’m gonna reap what I sow
I’m left seeing red on my own
“คล้ายแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ เธอล่อหลอกฉันให้เข้าไป แสร้งว่าจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด หัวใจอันขมขื่นของเธอ ช่างเย็นชาเกินกว่าจะเข้าใจ ตอนนี้ฉันต้องเตรียมใจรับสิ่งที่ได้ก่อไว้ ฉันถูกทิ้งให้ตามหาความรักอยู่คนเดียว”
ตามสัญชาตญาณของความรัก เรามักเผลอไผลไปกับเสน่ห์บางอย่างที่ดึงดูดเราให้เข้าไปพัวพันโดยไม่รู้ตัว ไม่อาจต้านทานได้ และไม่ทันตระหนักถึงผลกระทบที่อาจตามมาในท้ายที่สุด การเปรียบเทียบกับแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟคล้ายกับว่ากองไฟนั้นคือความสว่างที่แมงเม่าถูกดึงดูดให้เข้าไปหาโดยไม่รู้ว่านั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด คล้ายกับความรัก เมื่อเรารู้สึกรักใครหลงใครมากๆ บางทีเราอาจไม่ทันสังเกตถึงการทำร้ายที่อาจแฝงอยู่ และสิ่งนั้นจะค่อยๆ ทำร้ายเราไปเรื่อยๆ
สุดท้ายเราย่อมต้องเผชิญกับผลที่ตามมาจากการตัดสินใจกระทำอะไรบางอย่างลงไปเสมอ
Needle and the thread, gotta get you out of my head
Needle and the thread, gonna wind up dead
“เข็มและด้ายนั้น ฉันต้องเอาเธอออกมาจากหัวให้ได้ เข็มและด้ายนั้น ไม่เช่นนั้นฉันคงต้องตาย”
การเวียนวนซ้ำไปมาของท่อนนี้แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการการซ่อมแซมหัวใจที่แตกสลายเพื่อที่จะสามารถเดินหน้าไปได้ต่อ แต่ในมุมหนึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงภาวะขีดสุดของคนคนหนึ่งที่พร่ำอะไรซ้ำๆ จนดูเหมือนไม่มีสติ ซึ่งนั่นอาจนำพาไปสู่จุดเลวร้ายที่สุด หากยังไม่สามารถพาตัวเองออกมาจากความรักที่ล้มเหลวได้
แน่นอน ความรักเป็นสิ่งที่ดีและสวยงาม แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้พบเจอกับรักที่ดี ดังนั้น สิ่งสำคัญอาจจะเป็นการทำความเข้าใจก่อนว่าความรักที่ดีย่อมไม่ทำร้ายเรา หากความรักทำให้เราเจ็บปวด นั่นย่อมไม่ใช่ความรัก แต่อาจเป็นเพียงหลุมพรางของความรักเท่านั้น ไม่มีใครอยากเผชิญกับรักที่พ่ายแพ้ แต่บางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะหกล้มเพื่อลุกขึ้นยืนใหม่ และก้าวเดินต่อไปอย่างเข้มแข็งและมีสติมากขึ้น
บาดแผลจากความรักก็คล้ายกับบาดแผลที่เกิดขึ้นตามร่างกาย แม้มันจะเจ็บปวดในตอนแรก แต่สุดท้ายมันจะค่อยๆ บรรเทาไปตามกาลเวลาในที่สุด
Recommended Tracks
01 Track: Treat You Better Album: Illuminate Release: 2016
02 Track: Lost in Japan Album: Shawn Mendes Release: 2018
03 Track: In My Blood Album: Shawn Mendes Release: 2018