ภัทรพล ทองสุขา

ภัทรพล ทองสุขา | 5 เพลงโปรดบนรถคู่ใจ สะท้อนความหลากหลายในอารมณ์ของมนุษย์ฟรีแลนซ์

ในชั่วโมงเร่งด่วนของย่านฝั่งธนยามเช้า เรากำลังนั่งอยู่เบาะข้างคนขับบนรถส่วนตัวของ ‘เม้ง’ – ภัทรพล ทองสุขา มือกลองจากวงดนตรี Desktop Error และนักแสดงโฆษณาที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตา เพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เขาเอื้อมมือไปกดเพลย์ลิสต์ผ่านเครื่องเล่นเพลงในรถ เสียงเพลงเริ่มบรรเลงออกจากลำโพงมาเปลี่ยนบรรยากาศที่เงียบงันให้มีชีวิตชีวาและผ่อนคลายขึ้นมา

     แน่นอนว่านักดนตรีอย่างเขาย่อมต้องมีเพลย์ลิสต์เพลงโปรดที่นิยมฟังบ่อยๆ อยู่แล้ว ที่สำคัญ มนุษย์ฟรีแลนซ์ที่มีความจำเป็นต้องใช้รถเพื่อเดินทางบ่อยๆ อย่างเขา ย่อมต้องมีสิ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่นอกเหนือจากเพื่อนร่วมทางในการเดินทางแต่ละครั้ง ซึ่งดนตรีคือสิ่งที่ง่ายที่สุด แต่ก็สามารถส่งผลต่อสภาพจิตใจและอารมณ์ได้มากเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเพลงสร้างมู้ดก่อนไปทำงาน หรือเปิดเพลงโปรดเพื่อสร้างบรรยากาศระหว่างขับรถทางไกล

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

     “เวลาเดินทางโดยรถยนต์เราขาดเพลงไม่ได้เลยนะ มันคืออวัยวะอีกส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ การขับไปเงียบๆ มันค่อนข้างเครียดสำหรับเรา (หัวเราะ) คือมันก็ถูกแล้วที่เวลาขับรถต้องโฟกัสไปบนท้องถนนข้างหน้าหรือสิ่งรอบข้าง แต่ว่าในอีกมิติหนึ่ง เสียงเพลงคือสิ่งที่มาช่วยบำบัดบางอย่าง โดยเฉพาะอารมณ์ ความรู้สึก ลองคิดดู คนเราใช้ชีวิตบนรถเยอะ ยกตัวอย่าง ขับรถมาทำงานตอนเช้า เราสามารถเลือกได้ว่าเราอยากเริ่มต้นวันใหม่แบบไหน เราสามารถเลือกเพลย์ลิสต์บนรถที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายก่อนเริ่มงานได้ หรือตอนเย็นขับรถไปออกกำลังกายก็ฟังเพลงเตรียมใจให้มันแอ็กทีฟได้”

     ‘ดนตรี’ และ ‘รถยนต์’ ทั้งสองสิ่งมาควบคู่กัน เราอาศัยรถยนต์ในการเคลื่อนที่ไปยังจุดหมายปลายทาง ในขณะเดียวกันเราก็มักเปิดเพลงโปรดที่ชอบเพื่อขับเคลื่อนความรู้สึกและอารมณ์ของเราไปพร้อมๆ กัน

     “เพลย์ลิสต์ของเรามีเยอะมาก อารมณ์เราไม่ได้ไปในทิศทางเดียว บางทีถ้ามีงานที่ต้องใช้อารมณ์ ก็ต้องจัดเซตลิสต์เพลงที่เหมาะสม เพื่อสร้างบรรยากาศก่อนที่จะไปทำงานที่เรารัก หรือในการเดินทาง เพลงสบายๆ ที่ฟังแล้วรู้สึกดี ก็ช่วยสร้างบรรยากาศรอบข้างให้เราได้”

     ถ้าพร้อมแล้ว คาดเข็มขัดนิรภัยของคุณให้ดี เขากำลังจะพาเราแล่นไปบนท้องถนนพร้อมรถยนต์คู่ใจ และเบื้องหลังบทเพลงโปรดที่ช่วยให้การขับรถของเขารื่นรมย์ขึ้น

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

แกล้ง – Silly Fools

‘แกล้งทิ้งตัวลงนอนได้ไหม แกล้งจับมือฉันไว้เหมือนก่อน’

     ก่อนหน้านี้มีช่วงหนึ่งที่เราต้องขับรถไปแคสต์งานโฆษณา แล้วต้องทำอารมณ์ เราก็ใช้เพลงนี้เพื่อทำอารมณ์คือเพลงอาจจะไม่ได้ลิงก์กับตัวงานที่จะไปแคสต์โดยชัดเจนขนาดนั้น แต่เราเอาเรื่องใกล้ตัวเราซึ่งผ่านมาแล้วไปลิงก์กับมัน เพราะเพลงนี้มันเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ในอดีตของเรา

     ซึ่งโจทย์ของงานแคสต์เหมือนกับว่ามีคนในครอบครัวป่วย แล้วเราต้องร้องไห้ เราก็ต้องนำเรื่องราวบางอย่างในอดีตกลับมาผ่านเพลงนี้ สิ่งที่เราเคยเจอ เคยเห็น เคยสัมผัส พอเปิดเพลงปุ๊บ มาเว้ย น้ำตาไหลเว้ย คนขับมอเตอร์ไซค์ผ่านคงงงอ่ะ ไอ้นี่เป็นอะไร ร้องเพลงไปด้วย น้ำตาก็ไหลไปด้วย แต่พอไปถึงที่แคสต์งาน ร้องไม่ออก (หัวเราะ) เราพยายามจะทำในสิ่งที่เขาบรีฟมาแล้ว แต่เรารู้สึกเหมือนในหัวมันตีกลับ มันแย้งกันข้างใน สุดท้ายงานนั้นก็ไม่ได้

 

 

แสงสุดท้าย – Bodyslam

‘ในค่ำคืนที่ฟ้านั้นไม่มีดาวอยู่ตรงนี้ ฉันยังคงก้าวไป ยังคงมีรักแท้เป็นแสงนำไป’

     เพลงนี้เป็นเพลงให้กำลังใจตัวเองเลย เวลาเปิดฟังตอนระหว่างขับรถแล้วจะรู้สึกฮึกเหิมมาก ขนลุกเลย (หัวเราะ) คือมันเป็นเรื่องการให้กำลังใจของวิถีชีวิตคนฟรีแลนซ์อย่างเรา หรือคนที่ไม่ได้ทำงานออฟฟิศ แล้วต้องเผชิญชะตาชีวิตหลายๆ อย่างที่เหมือนเรากำลังเล่นกับมันอยู่ แล้วไม่รู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นด้วย ทั้งการเงิน การงาน ครอบครัว ตั้งแต่ต้นปี กลางปี ปลายปี มันคือสามฤดูในหนึ่งปีเลยที่เราต้องเจอสถานการณ์พวกนี้ เวลาได้ฟังเพลงนี้มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า เออ ช่างแม่งว่ะ

     สมมติมีเงินในธนาคารอยู่สามพันบาท จะมามัวเศร้าไม่ได้ ต้องหาวิธีแล้วว่าจะไปต่อยังไง หรือว่าจะหาเงินจ่ายค่ารถ ค่าห้องยังไง เอาใกล้ตัวก่อน ไม่ต้องไปมองคนอื่นว่า โห คนนั้นลำบากกว่าเรา เฮ้ย เขาก็มีเงิน เขาก็ทำงาน วิถีแต่ละคนมันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว มันแตกต่างกัน เราก็ต้องดำเนินชีวิตในแบบของเราไป

 

 

สิ้นกลิ่นดิน – วินัย พันธุรักษ์

‘โฉมยง เจ้าคงไม่รักเราจริง เราซิเชื่อทุกสิ่ง รักจริงแต่เจ้าแจ่มจันทร์’

     บางครั้งเราจะชอบขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดกับครอบครัว ล่าสุดเราไปอยุธยากับคุณพ่อ เราก็จะเปิดเพลงลูกกรุงให้เขาฟังตลอดทาง เป็นเพลย์ลิสต์ของลูกกรุงทั้งหมดเลย มันมีบางโมเมนต์แหละที่เราเบื่อเพลงสากลหรือเพลงทั่วไป เราก็จะย้ายไปฟังลูกกรุง เหมือนเป็นการหลีกหนีความจำเจบางอย่างในชีวิต เพลงพวกนี้ความหมายดีมากๆ ใช้คำไพเราะด้วย

     ตั้งแต่เด็กๆ พ่อเรา อาเรา ลุงเรา ร้องคาราโอเกะ เราก็ได้ยินเพลงพวกนี้มาตลอด แต่เราไม่ได้สนใจนะ ตอนนั้นจะมีความรู้สึกว่าเมื่อไหร่จะร้องเสร็จสักที อยากเปลี่ยนไปดูตลกคาเฟ่แล้ว (หัวเราะ) แต่พอมาถึงตอนนี้ เวลาได้ยินเมโลดี้เพลงที่เป็นออริจินัลของบ้านเรา มันจะมีบางอย่างมากระทบจิตใจเราเสมอ เพลงนี้ก็เป็นเพลงที่เราฟังบ่อยเหมือนกัน ปกติเราฟังเราก็ร้องตามด้วย มันเข้าหูจนร้องได้เอง เวลาเราขับรถไกลๆ พอได้ฟังแล้วมันเย็น มันคิดไปถึงทุ่งนาที่อยู่ต่างจังหวัด เวลาขับแล้วมันก็ทำให้เราเบาลงเหมือนกันนะ บางทีใครขับมาเบียดก็อาจจะ เฮ้ย! ไอ้… เออ ช่างมัน ไม่เป็นไร (หัวเราะ)

 

33 ‘God’ – Bon Iver

‘Is the company stalling? We had what we wanted your eyes. With no word from the former. I’d be happy as hell, if you stayed for tea.’

     เวลาขับรถทางไกลเราจะชอบฟังเพลงแบบวนๆ ทั้งอัลบั้ม วงนี้ก็เป็นอีกวงที่เรามักจะเปิดเวลาขับทางไกล เขาเป็นแนว Folk กับ Experimental เป็นเพลงทดลองจ๋าๆ เลย อย่างในแง่มุมหนึ่งเราเองก็เป็นนักดนตรี เราต้องทำงานเพลงใหม่ๆ ออกมา แต่ช่วงระยะเวลาที่เริ่มคิดอะไรไม่ออก เราก็ต้องมาลองฟังสัดส่วนดนตรี รายละเอียดที่น่าสนใจจากเพลงเขา เพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ แล้วการฟังเพลงในรถมันค่อนข้างมีข้อดีเยอะ หนึ่งเลยคือซาวด์ ในพื้นที่ที่จำกัดอย่างในรถ มันดูดซับเสียงได้ดี เสียงเบสจากลำโพง มิติของเพลงมันแทบจะออกมาครบเลยด้วยซ้ำ นอกเหนือจากการทำเพลงในขั้นตอน master ในห้องอัด การโยนมาฟังในรถมันก็มีส่วนที่ช่วยได้เหมือนกันนะ ทำให้เราได้ลองฟังว่ามิติของเพลงมันออกมาขนาดไหน เพลงมันไปในทิศทางไหน เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นเป็นอย่างไร

 

 

Woman – HONNE

‘Ten out of ten. You killed it once again cause you’re doing ffiine. This is to show you just how much we need you in our lives.’

     อันนี้เป็นวงที่เพิ่งได้มาฟังแล้วชอบ เราชอบเปิดตอนขับรถกลับบ้าน หรือช่วงหลังทำงานเสร็จแล้วอยากผ่อนคลาย เพราะบางครั้งเครียดกับงานมาทั้งวันแล้ว ก็ต้องมาเจอรถติดเวลากลับบ้านอีก การเปิดเพลงแนวนี้ที่ฟังสบายๆ หน่อยในรถก็ช่วยเราได้เลยนะ แล้วดนตรีเขาเป็น neo soul ที่ฟังลอยๆ เย็นๆ เป็นอีกวงที่เราชอบเปิดวนไปเรื่อยๆ เช่นกัน ก็ถือเป็นวงที่เราเปิดฟังบ่อยที่สุดเวลาขับรถในช่วงปีที่แล้วเลย