ยุค 90s เทรนด์หนึ่งของหนังบล็อกบัสเตอร์ฮอลลีวูดคือใช้การรุกรานของมนุษย์ต่างดาวมาเป็นเนื้อเรื่องเพื่อเรียกคนดู และหนังหลายเรื่องก็ประสบความสำเร็จอย่างสูง จนคนดูเริ่มเอียนพล็อตเรื่องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก จนกระทั่งการมาอย่างถูกที่ถูกเวลาของ Men In Black ที่ฉีกกฎของหนังไซ-ไฟ สืบสวน ล่าล้างจักรวาลทุกอย่างจนหมดสิ้น เต็มไปด้วยมุกตลกที่เฉียบคม เคมีของนักแสดงที่เข้าขากัน และสเปเชียลเอฟเฟ็กต์เกรดเอ จึงทำให้หนังชุดนี้อยู่ในใจของใครหลายคนที่โตมากับยุคนั้นไปตามๆ กัน
ผ่านมา 7 ปี หลังจบภารกิจของเจ้าหน้าที่เจและเจ้าหน้าที่เคในหนังชุดก่อน วันนี้ภารกิจในการปกป้องโลกจากภัยคุกคามของมนุษย์ต่างดาวก็อยู่ในมือของสองหนุ่มสาวชาวแอสการ์เดี้ยน ไม่ใช่! อยู่ในมือของเจ้าหน้าที่เอช และเจ้าหน้าที่ทดลองงาน ที่ต้องร่วมมือและออกตระเวนไปยังหลายประเทศเพื่อแก้ปริศนาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ดังนั้น เราจึงเลือกจะพูดคุยถึงหนังเรื่องนี้กับเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งจะทำความรู้จักกับองค์กรของชายชุดดำได้ไม่นานว่าเขาคิดอย่างไร
Pros: จุดเริ่มต้นของหนังเรื่อง Men in Black มาจากหนังสือการ์ตูนในชื่อเดียวกัน เขียนโดย โลเวลล์ คันนิงแฮม (Lowell Cunningham) ในปี 1990 และนำมาสร้างเป็นหนังออกฉายในปี 1997 ซึ่งนำแสดงโดย วิล สมิธ (Will Smith) ที่ตอนนั้นกำลังมือขึ้นสุดๆ กลายเป็นนักแสดง A-List ของฮอลลีวูด อีกฝ่ายคือ ทอมมี ลี โจนส์ (Tommy Lee Jones) นักแสดงรุ่นเก๋าที่มีจุดเด่นด้วยการแสดงแบบหน้าเดดซึ่งเข้ากับบทของเอเยนต์ผู้พิทักษ์จักรวาลที่จริงจัง นิ่งขรึม เมื่อจับคู่กับมุกตลกกวนๆ ของ วิล สมิธ จึงทำให้เคมีของนักแสดงทั้งสองมีความลงตัวเป็นพื้นฐาน
เมื่อรวมกับการแหกกฎหนังอวกาศทุกอย่างภายในเรื่อง และการเล่าเรื่องเกี่ยวกับเอเลียนในมุมมองใหม่ โดยสอดแทรกมุกฮาๆ อย่างการให้คนดังมากๆ ถูกจับตามองในฐานะของเอเลียนปลอมตัวมา เป็นต้น ยิ่งทำให้หนังมีความสดใหม่มากในสมัยนั้นจนกระทั่งมีหนังภาคต่อตามออกมาอีกสองภาค และก็หนีไม่พ้นวัฏจักรหนังฮอลลีวูด นั่นคือยิ่งทำภาคต่อ หนังก็ยิ่งโรยแรงลงไปเรื่อยๆ เพียงแต่เรื่องนี้โรยเร็วไปหน่อย ในหนัง Men in Black 3 (2012) ก็ทำออกมาได้แค่เสมอตัว ดังนั้น ใน Men in Black: International เราจึงคาดหวังว่าหนังจะถูกรีบูตกลับมาให้สนุกและน่าสนใจได้แบบภาคแรก เพราะเว้นช่วงไปทำการบ้านกันนานทีเดียว
Cons: หนังนำเสนอเรื่องราวในอีกมุมหนึ่งขององค์กร และก็ใส่กิมมิกเล็กๆ ในห้องทำงานถึงความเป็นตำนานของ MIB รุ่นพี่อย่างเจ้าหน้าที่เจและเจ้าหน้าที่เค เชื่อมโยงถึงความเป็นจักรวาลเดียวกัน ซึ่งโดยส่วนตัว เราไม่เคยมีโอกาสตั้งใจดูทั้งสามภาคก่อนหน้านี้ แต่พอเข้าใจคอนเซ็ปต์ของหนังประมาณหนึ่ง เพราะสองภาคแรกเคยดูตอนยังไม่รู้ความ ส่วนภาค 3 ได้ดูไปหนึ่งรอบถ้วน นึกออกเพียงประโยคเด็ด ‘Agree to disagree’ ของตัวร้ายในเรื่อง
อย่างไรก็ตาม เราได้กลิ่นอายของหนังยุค 90s อยู่ไม่น้อย อาจเป็นเพราะตัวผู้กำกับ (F. Gary Gray) ต้องการเคารพวิธีการนำเสนอตามแบบฉบับสองภาคแรก เราจึงได้เห็นช่องโหว่ของหนังอยู่ไม่น้อย ตามประสาหนังในยุคนั้นที่ไม่ต้องการเหตุผลมารองรับอะไรมาก และเพื่อให้บทมันดำเนินไปในทิศทางที่ผู้กำกับต้องการ นอกจากนั้น อาจจะเป็นเพราะตัวบทของทั้ง คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) และ เทสซา ทอมป์สัน (Tessa Thompson) ที่ทำให้เราไม่ได้กลิ่นอายของความเป็นธอร์หรือวัลคีรีอยู่เลย ซึ่งอาจจะเป็นข้อดีของมันก็ได้
Pros: ตั้งแต่ตัวอย่างแรกถูกปล่อยออกมา เราได้เห็น คริส เฮมส์เวิร์ธ กับ เทสซา ทอมป์สัน มาจับคู่เล่นหนังกันอีกครั้ง ตอนนั้นความรู้สึกของเราไฮป์มาก เพราะเคมีของสองคนนี้ใน Thor: Ragnarok (2017) เป็นความเข้ากันได้ดีอย่างรุนแรง จนเราแทบจะคาดหวังว่า Men in Black: International สามารถเป็นภาคแยกกลายๆ ของ Thor: Ragnarok ได้ เป็นการเติมเต็มความรู้สึกที่ยังไม่อิ่มจาก Thor: Ragnarok แต่ปรากฏว่าเคมีของนักแสดงทั้งสองกลับไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งเรามองว่าสาเหตุใหญ่ๆ คือเรื่องของบทภาพยนตร์ที่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมเหตุการณ์ปกป้องโลกในครั้งนี้ทุกอย่างง่ายไปหมด จนแทบไม่ต้องลุ้นอะไรกับชะตากรรมของเจ้าหน้าที่ในชุดดำทั้งสองคนนี้เลย เป็นบทที่อ่อนยวบจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือหนังไซ-ไฟสายลับที่ถูกสร้างขึ้นมาในปี 2019
Cons: ในแง่ของบทก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าใครที่ค่อนข้างจริงจังกับบทของหนังก็อาจจะไม่ชอบไปเลย แต่ถ้าเราเข้าไปดูแบบปิดสมอง ดูแบบไม่คาดหวังอะไรเลย ก็ถือได้ว่า Men in Black: International สอบผ่านในด้านการให้ความบันเทิง โดยเฉพาะ ‘มุกเด็ด’ มุกนั้นที่ใส่มาในจังหวะที่เรียกเสียงฮากันได้ลั่นโรง รวมถึงมุกยิบย่อยต่างๆ ที่ถือว่าอยู่ในจังหวะที่ทำให้เรายิ้มมุมปาก หรือหัวเราะออกมาได้อย่างออกรสชาติเลยทีเดียว ไหนจะเรื่องของการใช้กล้อง IMAX ทั้งเรื่อง ที่หากใครได้รับชมในโรง IMAX ระบบ 3D ก็จะยิ่งเข้าถึงความอัศจรรย์ของคอมพิวเตอร์กราฟิกอันแนบเนียน สมจริง (หรือเป็นเพราะเราดูแบบ 3 มิติ เลยดูสมจริงกว่าจอภาพปกติก็เป็นได้)
Pros: เราไม่ติดใจเรื่องมุกตลกในหนังภาคนี้ เพราะจริงๆ ตัวผู้กำกับและทีมเขียนบทเองก็พยายามประเคนความบันเทิงให้กับคนดูอย่างเต็มที่ ในหนังจึงมีทั้งมุกที่ได้อมยิ้มเล็กๆ ไปจนถึงหัวเราะแบบจริงจัง โดยเฉพาะกับมุกเด็ดมุกนั้นที่รอการเฉลยตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่จุดบกพร่องหลักๆ ของหนังคือการวางพล็อตที่เรียกว่าเป็นเส้นตรงและง่ายดายเกินไป ตัวละครต่างๆ กล่าวถึงและปล่อยผ่านเลยไปอย่างไม่ไยดี เช่น มนุษย์ต่างดาวที่ใช้ชีวิตอยู่บนกระดานหมากฮอส เราคิดว่าตัวละครพวกนี้มีอะไรให้เล่นเยอะมากกว่านั้น หรือเอาจริงๆ ถ้าผู้กำกับสามารถคิดมุกที่จัดการกับพวกเขาได้อย่างเฉียบคมกว่านี้อาจจะกลายเป็นอารมณ์ขันที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังภาคนี้ได้เลย
หรืออย่างตัวละครนักค้าอาวุธข้ามกาแล็กซีที่ปูเรื่องมาว่าโหดนักโหดหนา น่ายำเกรงเหลือเกินก็ปิดจบอย่างง่ายเกินไป (หรือเปล่า) ซึ่งนั่นยังไม่นับตัวร้ายหลักของเรื่อง รวมถึงการมีอยู่ของ เอ็มมา ทอมป์สัน กับ เลียม นีสัน ที่เหมือนถูกแกล้งให้กลายเป็นตัวละครที่จืดจางเหลือเกิน
Cons: นอกจากนั้นเรายังเห็นกิมมิกเล็กๆ ที่เชื่อว่าจะทำให้คนดูร้อง ‘เฮ้ย’ ได้เลย เป็นกิมมิกที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามในแต่ละประเทศที่เข้าฉาย (อารมณ์เปลี่ยนฉากให้เข้าธรรมเนียมของแต่ละโซนทวีปอย่างในหนัง Zootopia หรือ Inside Out) ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าการใส่เข้ามาก็ทำให้คนในโรงร้องเฮ้ยได้จริง แต่ถามว่ามันเพิ่มอรรถรสในการชมไหม ก็ไม่ขนาดนั้น เอาเวลาใส่ใจตรงนั้นไปเติมบทยังได้เลย (ฮา)
Pros: ในหนังจะมีประโยคหนึ่งที่บอกว่า ‘จักรวาลจะพาเราไปยังสถานที่ที่ใช่ ในเวลาที่ถูกต้องเอง’ (โดยประมาณ) และด้วยบทหนังที่เราขอใช้คำว่า ‘ย่ำแย่’ จึงทำให้เกิดสถานการณ์ที่ผิดที่ผิดทางขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ และการที่หนังกัดตัวเองด้วยมุก Men in Black และพยายามแก้เก้อด้วยการให้ความสำคัญกับตัวละครหญิงในเรื่อง ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้แค่พูดแก้เขินจึงกลายเป็นความตลกร้ายโดยไม่ตั้งใจ แต่ต้องยอมรับว่า เทสซา ทอมป์สัน มีประกายบางอย่างที่โดดเด่นจริงๆ ถ้าถูกผลักดันดีๆ เธออาจจะเป็นคนที่พาให้ Men in Black ภาคต่อไป (ถ้ามี) กลายเป็นหนังที่น่าดูขึ้นมาก็ได้ ส่วน คริส เฮมส์เวิร์ธ สำหรับเราคิดว่าเขามีบารมีมากพอที่จะไปรับบทเป็น เจมส์ บอนด์ คนใหม่ได้เหมือนกัน เพราะในบางฉาก คริสทำให้เราคิดถึง เพียร์ซ บรอสแนน (Pierce Brosnan) ตอนหนุ่มๆ อยู่เหมือนกัน
Cons: จากที่คุยกันมา เราจะเห็นว่ามีหลายๆ ประเด็นที่ความเห็นตรงกัน อย่างเรื่องของบทที่จัดว่า ‘ย่ำแย่’ ความไม่สมเหตุสมผลของหนังที่ติดตัวมาจากภาคแรกๆ หรือมุกตลกของหนังที่จัดอยู่ในเกณฑ์ดี เราจึงคิดว่าหนังเรื่องนี้ยังคงย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่เข้าไปดูแบบไม่ต้องคิดถึงความสมเหตุสมผล ไม่ต้องคิดถึงบทของหนัง ไม่ต้องคาดหวังอะไรกับตัวหนัง เข้าไปเสพงานซีจี (หรือความ 3D) เสพความฮา เสพความแอ็กชัน เสพคู่จิ้นของตัวพระเอกนางเอก เสพนักแสดง A-List ต่างๆ เสพความเป็น Men in Black ได้อย่างไม่รู้สึกเสียดายเวลาหรือค่าตั๋วแต่อย่างใด
Pros: แต่ขอเลยนะ อยากให้หนังเรื่องนี้ล้อมุกคริสถือค้อนเป็นเรื่องสุดท้ายได้ไหม ให้พี่แกได้มีทางเดินอื่นบ้าง (ฮา) และยังหวังว่าเราจะได้ดู Men in Black ภาคต่อไปโดยที่ไม่ต้องรอนานหลายปีแบบภาคนี้
FYI — Pros: ทรรศน หาญเรืองเกียรติ Cons: ภาคิน วลัยวรางกูร