“I’m home.” — ผมถึงบ้านแล้ว ผมคิด ก่อนชะงักเพราะพิศวงในความคิดนั้น ผมถึงบ้านแล้ว ผมถึงบ้าน…
ช่วงเดือนมิถุนายนของปี 2017 ผมตัดสินใจเก็บกระเป๋า ทิ้งทุกอย่างที่เคยมี แมวหนึ่งตัว การงานที่เคยทำ ชีวิตที่แค่ใช้ไปวันๆ ไม่มีเรื่องใหญ่ๆ ให้ต้องเดือดร้อน เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนอื่น
นั่นเป็นปีที่ 28 ย่างเข้าสู่ปีที่ 29 ของชีวิต โค้งสุดท้ายที่จะได้ใช้ชีวิตโดยไม่คิดหน้าพะวงหลัง ผมทำงานมาราว 7 ปี มีหนังสือของตัวเองตีพิมพ์ 2 เล่มตามที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้า มีเงินเก็บอยู่ระดับหนึ่งที่พอจะใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องทำอะไรมากนักไปอีกหนึ่งปี — ชีวิตในเมืองเล็กๆ บนหุบเขาเหนือน้ำทะเลกว่า 6,700 ฟุต เป็นเหมือนเทพนิยาย เป็นการได้หนีจากสิ่งที่ผูกมัดชีวิตไว้ตลอดมา เป็นความฝัน และแน่นอน มันเป็นทั้งฝันดีและร้าย… แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราจะพูดถึงรายละเอียดในที่นี้
กระทั่งอีกราวหนึ่งปีหลังจากนั้น ผมก็กลับมา และผมควรพูดว่า “I’m home.” — ผมถึงบ้านแล้ว ผมคิด ก่อนชะงักเพราะพิศวงในความคิดนั้น ผมถึงบ้านแล้ว ผมถึงบ้าน…
แต่นั่นไม่ใช่คำพูดของผม มันคือข้อความจากนิยายที่ตัวละครชื่อ สตีเวน เครน (Steven Crain) ในซีรีส์สยองขวัญ The Haunting of Hill House ซึ่งออกฉายใน Netffllix เมื่อปลายก่อนนี้ กำลังพยายามเขียน…
*Spoiler Alert*
สตีเวนเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวต้องสาปที่มีพี่น้องรวมกัน 5 คน — คำสาปนั้นเริ่มจากการย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์นาม Hill House คฤหาสน์หลังงามที่ตั้งตระหง่านมานานกว่า 80 ปี และอาจคงอยู่ต่อไปอีก 80 ปี—บ้านชั่วคราวที่ผู้เป็นพ่อซื้อไว้ โดยหวังว่าเมื่อซ่อมแซมปรับปรุงเสร็จสิ้น พวกเขาจะขายมันทิ้งแลกกับเงินก้อนโตเพื่อใช้ในการสร้าง ‘บ้านถาวร’ ของตัวเอง
แต่บ้านถาวรที่ว่าก็ไม่เคยเกิดขึ้น…
เริ่มจากน้องคนสาวคนเล็กสุด เนลล์ เครน (Nell Crain) เห็นผีคอหักโผล่มาหลอกหลอน ฝาแฝดที่เกิดก่อนเธอเพียงไม่กี่วินาทีอย่าง ลูค เครน (Luke Crain) ถูกผีตัวสูงตามมาเอาหมวกใบใหญ่ที่ลูคเจอและนำมาสวมเล่นคืนจนขวัญผวา พี่สาวประสาทไวคนกลาง ธีโอดารา เครน (Theodora Crain) รู้สึกหนาววูบตลอดเวลาที่อยู่ในบ้าน ส่วนพี่สาวและพี่ชายคนโตอย่าง เชอร์ลีย์ เครน (Shirley Crain) และ สตีเวน เครน แม้จะไม่เห็นผีตัวเป็นๆ แต่พวกเขาก็สัมผัสอะไรบางอย่างได้
มันเริ่มต้นแบบนั้น หรือไม่แน่ก็อาจเริ่มต้นมาก่อนหน้า มันอาจมีที่มาจาก ‘ความหวัง’ ‘ความกลัว’ และ ‘ความวิกลจริต’ และอีกแง่หนึ่งพวกเขาอาจกำลังถูกสิงสู่ด้วยผีชื่อ ‘มนุษย์’
ในซีรีส์ตอนหนึ่ง เมื่อใครสักคนถามใครอีกคนว่าผีเป็นอย่างไร ใครคนนั้นพลันอธิบายด้วยคุณศัพท์อันแปลกประหลาดว่า scattered—กระจัดกระจาย—เราต่างกลัวการถูกทำให้กระจัดกระจาย ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่เป็นตัวเป็นตน โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 21 ที่นิยามของ ‘ตัวตน’ ถูกประกอบสร้างด้วยหลายปัจจัย ทั้งโลกจริงและโลกเสมือน ทั้งโลกภายนอกและภายใน ทั้งด้วยคนอื่นและตัวเอง ราวกับว่า ถ้าเราไม่ประกาศให้โลกรู้ว่าเราคือใคร เรากำลังทำอะไร การงานของเราหนักหนาสาหัสขนาดไหน เรารักหรือโกรธเกลียดใคร การกระทำและความรู้สึกเหล่านั้นก็จะไม่มีอยู่จริง
เราถูกสิงสู่ด้วยภาวะแบบนั้น ทนทุกข์กับมัน และนั่นคือเหตุผลหนึ่งของการหนีของผมเอง หนีไปเสียจากที่ที่เคยคุ้น กลายเป็นคนนิรนาม ไร้ความคาดหวังจากใคร และใช้หลบหนีจากความคาดหวังของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย
The Haunting of Hill House ไม่ได้แตะประเด็นนั้นมากนัก แต่มันพูดถึงความกระจัดกระจายในท่วงทำนองเดียวกัน แม่ที่รักลูกจนเกินพอดี—ความรักที่มากล้นเกินอีกแง่หนึ่งนั้นเป็นคำสาป เป็นความอ่อนแอ เธอมองเห็นอนาคต เห็นความกระจัดพลัดพรายของครอบครัว บ้านถาวรที่วาดหวังไว้จะไม่สมบูรณ์ถ้าองค์ประกอบในครอบครัวไม่ครบ นั่นเองที่กลายเป็นจุดอ่อนให้เธอถูกผีสิงสู่โดยง่าย เป่าหูให้เธอเก็บลูกฝาแฝดตัวน้อยทั้งสองไว้กับตัวตลอดกาลด้วยการวางยาพิษในถ้วยชา ผีที่เป็นทั้งผีภายนอกที่แอบซ่อนอยู่ในบ้าน และผีวิกลจริตของความรักมากล้นพ้นเกินในฐานะมนุษย์ของเธอเอง จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่จากไปสู่โลกนิรันดร์
แน่นอนว่า มองในมุมกลับ Hill House หรือบ้านผีสิงหลังนั้นอาจเป็นสรวงสวรรค์ ก่อกำแพงหนาปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก สุขสันต์อยู่กับตัวตนภายในที่เราเชื่อ ปกป้องคนรอบตัวให้ห่างจากพิษร้ายของโลกข้างนอกนั่น (ซึ่งในที่นี้การเลือกเดินสู่ความตายก็อาจเป็นหนทางที่ง่ายที่สุด)
แต่หากยังมีลมหายใจ ที่สุดแล้วในฐานะมนุษย์ เราก็ไม่มีวันหนีการกระจัดพลัดพรายพ้น ครอบครัวเครนหนีจากผีมาได้ — 6 ใน 7 คนยังมีชีวิตรอด พวกเขาแก่ตัวลงและเติบโตขึ้นหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่คำสาปก็ยังตามติดโดยไม่มีทางสลัดออก เหมือนที่สตีเวนบอกว่า “ผีสามารถเป็นอะไรก็ได้มากมาย ความทรงจำ ฝันกลางวัน ความลับ ความโศกเศร้า ความโกรธ ความรู้สึกผิด แต่จากประสบการณ์ของผม โดยมากพวกมันมักเป็นสิ่งที่เราอยากเห็น”
ซึ่งที่สุดแล้ว Hill House อาจไม่ใช่สถานที่ทางกายภาพอีกต่อไป ผีอาจโผล่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ในขณะที่เราขับรถ เดินอยู่บนทางเท้าตอนกลางวัน นอนหลับกอดคนรักคนปัจจุบันอยู่ในห้องนอน เพราะในฐานะมนุษย์ สิ่งที่เรา ‘อยากเห็น’ มันอาจเป็น ‘ความคาดหวัง’ คาดหวังในความสัมพันธ์ คาดหวังที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน คาดหวังถึงความสุข และอย่างไม่รู้ตัวเราก็โดนผีเหล่านั้นสิงสู่จนตัวหนาวสั่นทุกข์ทรมาน
และสิ่งที่เราทำได้มากที่สุดอาจเป็นการสวดภาวนากับตัวเองวนๆ ซ้ำๆ อย่างที่ผู้เป็นพ่ออย่าง ฮิวจ์ เครน (Hugh Crain) พูดติดปากตลอดเวลาว่า “I can ffiix it—ผมซ่อมมันได้”
แต่เราจะซ่อมแซมได้อย่างไร ในเมื่อเราต่างพังทะลาย กระจัดกระจาย และซ่อมไม่ได้มาตั้งแต่ต้น แถมยังถูกทำให้พังซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งจากตัวเอง คนอื่น และสภาพสังคมอันบีบคั้น
ราวกลางปีก่อนหน้า ผมกลับมาจากการพักร้อนอันยาวนานด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกะทันหัน พร้อมชีวิตพังๆ ความสัมพันธ์ที่จบลง การเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ เริ่มต้นงานใหม่ช่วงสั้นๆ กลายเป็นคนไม่มีงาน และมีงานทำอีกครั้ง
ปีที่ 29 ของชีวิตเป็นปีที่หนักหนาสาหัสที่สุด ผมหลุดออกจาก track ของสิ่งที่ควรเป็นไปไกล พยายามกลับเข้าสู่ track เหล่านั้นใหม่ และถูกถีบกระเด็นตก track อีกครั้งจากหลายอย่าง ซึ่งตัวการสำคัญอาจเป็นผีในฐานะมนุษย์ของตัวเอง — ทั้ง ‘ความหวัง’ ‘ความกลัว’ ‘ความวิกลจริต’ ‘ความอ่อนแอ’ ‘ความถือดี’ และ ‘อ่อนด้อย’
กลับไปที่ The Haunting of Hill House ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ใช่หรือไม่ว่า สุดท้ายแล้ว มันกำลังบอกเราว่า ในฐานะมนุษย์ เราทุกคนมีผีของตัวเองอย่างน้อยก็คนละหนึ่งตัว และการไม่เห็นผีอย่างที่คนอื่นเห็น ก็ใช่ว่าผีตัวนั้นจะไม่มีอยู่จริง
ผีของคนที่กำลังจะอายุ 30 ซึ่งกำลังดำเนินไปของศตวรรษนี้อาจเป็นผีในท่วงทำนองนั้น ผีของการกลับไม่ได้และไปต่อไม่ถึง ที่ทำให้สะดุ้งตื่นราวถูกผีอำในแทบทุกคืน
โลกข้างนอกน่ากลัวอย่างที่ผู้เป็นแม่อย่าง โอลิเวีย เครน (Olivia Crain) ว่าไว้ มันเต็มไปด้วยคบไฟที่พร้อมแผดเผาเราจนมอดไหม้เพียงเพราะเราเป็นผีตัวหนึ่งในโลกมนุษย์ของคนอื่น
“แค่เพราะว่าใครสักคนเป็นคนดี แค่เพราะว่าคุณแคร์พวกเขา มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่สุมไฟเผาคุณ”
พี่ชายคนโตของบ้านผู้ต่อมากลายเป็นนักเขียนดังพูดไว้แบบนั้น
ผมกำลังนึกถึงฉากที่ลูคราดน้ำมัน จุดไฟแช็ก และโยนมันลงไปบนพรมของโถงบ้าน Hill House หลังนั้น
เปลวไฟไม่ได้ลุกโชนจนเผาบ้านผีสิงหลังนั้นวอดวายหรอก—Hill House ยังคงอยู่—ตั้งตระหง่านมานานกว่า 80 ปี และอาจคงอยู่ต่อไปอีก 80 ปี—เหมือนเมืองกลางหุบเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเล 6,700 ฟุตที่ผมเคยอยู่—เหมือนมหานครแห่งนี้ที่ผมกำลังใช้ชีวิตอยู่
แต่ในโลกทุกวันนี้ อาจจะแค่ตัวผมเองก็ได้ ที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังมอดไหม้อย่างช้าๆ
และไม่ว่าจะรักในความเป็นมนุษย์ของตัวเองขนาดไหน นั่นไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่เผาไหม้เราจนกลายเป็นภูตผี—ผีแบบที่เนลล์เป็น ตะโกนเท่าไหร่ก็ไม่มีใครได้ยิน
ผมถึงบ้านแล้ว ผมคิด ก่อนชะงักเพราะพิศวงในความคิดนั้น…
The Haunting of Hill House