เมื่อความรักสร้างความหมายให้ชีวิต เราจึงอยากเป็นที่รักของใครสักคน นี่คือความปรารถนาที่ฝังลึกในใจตราบใดที่เรายังมีความรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความรัก จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคนคนหนึ่งอยากรู้และทำความเข้าใจความรักในชีวิตของตัวเอง ทั้งปัจจุบันที่เป็นอยู่และเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ดังนั้น คำทำนาย หรือการดูดวง จึงเป็นทางลัดพิเศษที่หลายคนเลือกก้าวเข้ามาเดินในเส้นทางสายนี้ เพื่อหวังสร้างความสบายใจให้รู้สึกว่าอย่างน้อยชีวิตในภายภาคหน้าก็ไม่ได้เป็นความลับหรือปริศนาดำมืดเกิดกว่าที่จะไม่มีใครคาดเดาได้
ความลับ: คำทำนายดวงว่าด้วยเรื่องความรักและความสัมพันธ์ทั้ง 12 ราศี
เปิดตำราโหราศาสตร์ อ่านคำพยากรณ์จากตำแหน่งที่อยู่และการเคลื่อนที่ของดวงดาวประจำราศีบนท้องฟ้าตามหลักการนับราศีแบบอินเดีย และแปลความหมายออกมาเป็นคำทำนายดวงความรัก 12 ราศี ประจำไตรมาศที่สองของปี (ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน) โปรดใช้วิจารณญาณระหว่างอ่านคำทำนาย
ราศีเมษ (Aries) คนที่เกิดวันที่ 13 เมษายน – 12 พฤษภาคม
ไม่ค่อยได้คุยกันบ่อยเหมือนก่อน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นห่างเหิน คนที่มีคู่ควรหนักแน่และเชื่อมั่นกับความรู้สึกของตัวเอง ระวังเกิดปัญหาบานปลายหากระแวดระวังเกินพอดี สำหรับคนโสดถ้าไม่พบคนใหม่ๆ ก็มีแนวโน้นโสดยาวข้ามปี
ราศีพฤษภ (Taurus) คนที่เกิดวันที่ 13 พฤษภาคม – 12 มิถุนายน
ทั้งคนมีคู่และคนโสดจะเกิดความรู้สึกลังเล เพราะมีเรื่องของอีกฝ่ายเข้ามากวนใจให้คิดหนัก คนมีคู่หนักใจว่าควรจะประคองความรักให้คงอยู่หรือเลิกแล้วต่อกันไปเลย ส่วนคนโสดกังวลว่าควรจะตีตัวออกห่างจากคนที่กำลังคุยอยู่ดีไหม
ราศีเมถุน (Gemini) คนที่เกิดวันที่ 13 มิถุนายน – 12 กรกฎาคม
ถ้าคนรักเป็นผู้ใหญ่หรือมีความคิดโตกว่าวัยก็สบายใจได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าคนรักทำตัวเป็นเด็กจะทำให้ความรักเกิดการระส่ำระส่ายจนทำให้ห่างกันสักพักระยะหนึ่ง ตรงกันข้ามกับคนโสด จะมีคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเข้ามาพูดคุย
ราศีกรกฎ (Cancer) คนที่เกิดวันที่ 13 กรกฎาคม – 12 สิงหาคม
คนมีคู่ช่วงนี้ไม่ค่อยหวานมาก คุยกันแบบตรงไปตรงมามากกว่า ระวังเรื่องตรรกะเพราะต่างฝ่ายจะใช้เหตุผลเป็นข้ออ้างมากเกินไปจนอาจทำให้เกิดปัญหาได้ สำหรับคนโสดจะพบรักจากการทำงาน แต่ระวังคนรอบตัวจะเข้ามายุ่งวุ่นวาย
ราศีสิงห์ (Leo) คนที่เกิดวันที่ 13 สิงหาคม – 12 กันยายน
ความรักถึงจุดระหองระแหง ต้องออกห่างจากคนรักชั่วคราว ก่อนจะกลับมาคุยกันอีกครั้งเพราะมีคนใกล้ชิดเป็นกาวใจ ระวังทิฐิหรือความอวดดื้อถือดีของตัวเอง ส่วนคนโสดต้องใจเย็นๆ การเลือกคบเพื่อแก้เหงาจะทำให้เสียใจภายหลัง
ราศีกันย์ (Virgo) คนที่เกิดวันที่ 13 กันยายน – 12 ตุลาคม
ความรักเริ่มมีอุปสรรค แต่ยังต้องดูกันไปยาวๆ จนอาจทำให้คนมีคู่รู้สึกว่าบางครั้งการได้ทำอะไรคนเดียวคล่องตัวกว่าเยอะ เหมือนกับคนที่โสดอยู่ การอยู่กับตัวเองมากเกินไปจะทำให้กลายเป็นคนไม่เปิดใจให้คนที่เข้ามาคุย
ราศีตุล (Libra) คนที่เกิดวันที่ 13 ตุลาคม – 12 พฤศจิกายน
ทั้งคนมีคู่และคนโสดถึงเวลาที่ต้องถามตัวเองจริงๆ จังๆ ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองให้มากกว่านี้ เพราะการมีความสัมพันธ์แบบไม่ชัดเจน หรือการพยายามเก็บซ่อนหรือปกปิดอะไรบางอย่างไว้ จะทำลายความเชื่อใจของอีกฝ่ายได้
ราศีพิจิก (Scorpio) คนที่เกิดวันที่ 13 พฤศจิกายน – 12 ธันวาคม
คนโสดชอบนึกถึงเรื่องราวในอดีต คิดถึงความเจ็บปวดจากความรักที่ผ่านมา เพราะยังตัดใจไม่ได้ มีแนวโน้มครองโสดไปอีกระยะหนึ่ง แต่คนที่มีคู่แล้วความรักราบรื่นปกติดี มีงอนหรืองอแงกันบ้าง แต่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่โต
ราศีธนู (Sagitarius) คนที่เกิดวันที่ 13 ธันวาคม – 12 มกราคม
ความรักของคนมีคู่เหมือนนั่งรถไฟเหาะ ที่ผ่านมามีทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุด จนทำให้ความรักสั่นคลอนบ้าง และการทำตัวแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลงจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง ส่วนคนโสดระวังแพ้ภัยตัวเอง นิสัยเดิมๆ จะทำให้ไม่มีใครเข้าหา
ราศีมังกร (Capricornus) คนที่เกิดวันที่ 13 มกราคม – 12 กุมภาพันธ์
ต้องระวังทั้งคำพูดและการกระทำ คนที่มีคู่แล้ว เรื่องส่วนตัวจะทำให้เกิดความบาดหมางได้ ซึ่งเป็นเรื่องการงานมากกว่าการมีมือที่สาม ส่วนคนโสดมีคนเข้ามาพูดคุยบ้าง แต่ยังไม่มีเกณฑ์สมหวังแถมจะทำให้เสียความรู้สึกอีกต่างหาก
ราศีกุมภ์ (Aquarius) คนที่เกิดวันที่ 13 กุมภาพันธ์ – 12 มีนาคม
เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับคนมีคู่ เพราะความสัมพันธ์จะแน่นแฟ้น ไม่มีเรื่องมารบกวนใจ สำหรับคนโสดความรักจะกลับมาเบ่งบานอีกครั้งจนรู้สึกดีหรือชื่นชอบใครบางคนมากเป็นพิเศษ แต่เป็นได้ทั้งความสัมพันธ์แบบเพื่อนหรือแฟนก็ได้
ราศีมีน (Pisces) คนที่เกิดวันที่ 13 มีนาคม – 12 เมษายน
คนมีคู่ระวังคำพูดคำจาที่ไม่เข้าหู ความรักมีโอกาสพังสูงมากเพราะคำพูดไม่ชวนฟัง มีสติ นึกถึงความรู้สึกของคนรักให้มาก ส่วนคนโสดอย่าเพิ่งเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น อดทนไว้แล้วทุกอย่างจะคลี่คลาย ถ้าวู่วามจะเกิดปัญหาไม่จบสิ้นตามมา
ความหลัง: ประวัติศาสตร์เบื้องหลังคำทำนาย และความแม่นยำจากคณะละครสัตว์สู่ห้องเรียนมหาวิทยาลัย
ย้อนกลับไปในช่วงศตวรรษที่ 19 P.T. Barnum นักธุรกิจชาวอเมริกันเจ้าของกิจการคณะละครสัตว์และการแสดงปาหี่ (Freak Show) ซึ่งประสบความสำเร็จสูงสุดในสมัยนั้น (ถ้านึกภาพไม่ออกให้คิดถึงภาพยนตร์เรื่อง The Greatest Showman เพราะส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจมากจากชีวิตจริงของเขา แม้กระทั่งแฝดสยามอิน-จัน ก็ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกนักแสดงของคณะละครสัตว์นี้) ด้วยบทบาทการเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ ทำให้เขามีนิสัยส่วนตัวชอบสังเกตพฤติกรรมคนที่ตีตั๋วเข้ามาดูการแสดง จนพบว่าคนส่วนมากมักจะปักใจเชื่อคำพยากรณ์ของหมอดูอย่างสนิทใจ หลังจากได้ฟังคำทำนายที่พูดถึงความจริงพื้นฐานทั่วไป หรือลักษณะบางอย่างที่คนส่วนใหญ่มีหรือรู้สึกร่วมกันอยู่แล้ว
P.T. Barnum จึงเรียกหลักการเช่นนี้ว่า “have a little something for everybody” หมายถึงในคำทำนายที่หมอดูจะพยากรณ์หรือสื่อสารออกมานั้น ไม่จำเป็นต้องถูกต้องทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ (เพราะไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน) แต่ต้องพูดถึงสัจธรรมที่ใครๆ ก็มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ได้ ซึ่งอาจเป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆ ที่แฝงรวมอยู่อย่างแนบเนียนในคำทำนายก็พอแล้ว เพราะเรื่องเล็กๆ ตรงนี้แหละจะช่วยเสริมให้ผู้ฟังทุกคนรู้สึกว่าคำทำนายจากหมอดูแม่นยำกับชีวิตที่เป็นอยู่ของตัวเอง ทั้งๆ ที่เป็นความปกติซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะพูดให้ใครฟังก็เห็นตรงกันว่าถูกต้องและไม่มีวันผิด เช่น ‘ช่วงนี้คุณมีเรื่องกังวลใจ’ หรือ ‘ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะต้องทำใจยอมรับความผิดพลาดในชีวิต’
ต่อมาในปี 1948 Bertram R. Forer นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้บุกเบิกศึกษาเรื่องความแม่นยำของคำทำนายอย่างจริงจัง เพื่อตอบคำถามชวนสงสัยที่ว่า ‘ทำไมคนเราถึงรู้สึกว่าคำทำทายของหมอดูตรงกับชีวิตจริง?’ ด้วยคำอธิบายทางจิตวิทยา เขาออกแบบการทดลองกับกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยให้นักศึกษาจำนวน 39 คน ทำแบบทดสอบบุคลิกภาพ เพื่อนำมาวิเคราะห์อย่างละเอียด ก่อนบอกผลทดสอบให้แต่ละคนรู้โดยใส่ไว้ในซองเอกสารลับ หลังจากที่ทุกคนได้อ่านแล้วเขาจึงถามนักศึกษาว่าผลการทดสอบที่ได้อ่านไปมีความแม่นยำมากน้อยแค่ไหน ให้ระบุคะแนน 0-5 คะแนน (0 คือไม่แม่นเลย 5 คือแม่นทุกประการ) ผลคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากนักศึกษาทั้ง 39 คน คือ 4.26 คะแนน และในจำนวนนี้มีนักศึกษามากกว่า 40% ให้คะแนนเต็ม 5 แสดงให้เห็นว่าคำทำนายบุคลิกภาพมีความแม่นยำสูง แต่นักศึกษาทุกคนกลับต้องรู้สึกงงเป็นไก่ตาแตกอีกครั้ง เมื่อ Bertram R. Forer เฉลยว่าทุกคนได้รับผลทดสอบบุคลิกภาพเหมือนกัน และที่เจ็บแสบไปมากกว่านั้นคือเป็นข้อความจากคำทำนายดวงที่เขารวบรวมมาอีกทีหนึ่ง ซึ่งผลทดสอบนั้นบอกไว้ว่า
“คุณต้องการให้คนอื่นชื่นชอบและชื่นชม แต่ตัวคุณกลับมีแนวโน้มที่จะคิดมากและตำหนิตัวเอง คุณมีความสามารถเพียงแต่เก็บซ่อนเอาไว้ยังไม่ได้แสดงออกมา จริงอยู่ว่าคุณมีข้อด้อย แต่ขณะเดียวกันคุณก็มีสิ่งอื่นๆ ที่มาชดเชยกันได้ คุณเป็นคนมีวินัยและควบคุมตัวเองได้ แต่ลึกๆ ภายในมีความกังวลและรู้สึกไม่สบายใจ หลายครั้งคุณสงสัยในการตัดสินใจของตัวเองว่าดีพอแล้วหรือถูกต้องหรือไม่ คุณชอบการเปลี่ยนแปลงแต่จะไม่พอใจทันทีถ้าถูกจำกัดให้อยู่ภายใต้ข้อบังคับ คุณภูมิใจที่เป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเอง และจะไม่ยอมรับฟังความเห็นต่างจากคนอื่นง่ายๆ หากไม่มีข้อพิสูจน์หรือหลักฐานที่หนักแน่นพอ บางครั้งคุณเก็บตัวไม่ยุ่งกับใคร และความใฝ่ฝันของคุณบางเรื่องก็ดูเป็นจริงไม่ได้” (อ่านข้อความต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ The Fallacy of Personal Validation: A Classroom Demonstration of Gullibility ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1949)
Bertram R. Forer อธิบายเพิ่มเติมว่า ข้อความในผลการทดสอบพูดถึงความเป็นไปได้อย่างกว้างๆ ซึ่งไม่ได้เจาะจงไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ จึงทำให้นักศึกษาค่อยๆ เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งที่ตัวเองเป็นขณะอ่าน จนถูกลวงให้หลงเชื่อในคำทำนายนี้ เขาจึงสรุปผลการทดลองว่า คนเรามีแนวโน้มเอนเอียง (Cognitive Bias) และหลงเชื่อคำอธิบายที่บอกเล่าลักษณะทั่วไปบางอย่างซึ่งตรงกับตัวเอง จนทำให้เข้าใจว่าคำอธิบายเหล่านั้นมีความแม่นยำสูงมาก ทั้งๆ ที่เป็นความจริงกลางๆ ทั่วไป ไม่ว่าใครอ่านก็จะรู้สึกได้ว่าตรงเหมือนกัน จึงเรียกปรากฏการณ์ทางจิตวิทยานี้ว่า Forer Effect
หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Barnum Effect ซึ่งตั้งขึ้นโดย Paul E. Meehl นักจิตวิทยาคลินิกชาวอเมริกัน จากบทความวิชาการ Wanted – A Good Cookbook ที่เขาเขียนขึ้นในปี 1956 โดยอ้างอิงถึงแนวคิดการทำธุรกิจของ P.T. Barnum ที่มักจะใช้ประโยชน์จากคำพูดที่คลุมเครือเพื่อหลอกล่อให้คนหลงเชื่อ จนกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จจากความสามารถในการตบตาคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หมอดูจะถูกมองว่าเป็นนักต้มตุ๋น เพราะมีมิจฉาชีพแฝงตัวเข้ามาใช้วิธีการเหล่านี้หากินกับคนที่มีจิตใจไม่มั่นคงหรือกำลังต้องการที่พึ่งทางใจ
ความจริง: เมื่อคำทำนายที่คิดว่าแม่นนักแม่นหนา สร้างขึ้นได้จากหลักการง่ายๆ ทางจิตวิทยา
จากเรื่องราวทั้งหมดที่กล่าวมา ก็เพื่อต้องการบอกว่าคำทำนายดวงความรักและความสัมพันธ์ทั้ง 12 ราศีที่คุณอ่านไปก่อนหน้านี้นั้น คือเรื่องแต่งที่เขียนขึ้นตามหลักการของ Forer Effect โดยอาศัยเงื่อนไขสำคัญอยู่ 3 ข้อ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้คนอ่านเข้าใจว่าเป็นคำทำนายที่แม่นยำ
ข้อแรก เมื่อได้อ่านหรือฟังจะต้องรู้สึกว่าคำทำนายนั้นเฉพาะเจาะจงกับตัวเขา
ข้อสอง เกี่ยวข้องกับศรัทธาอันแรงกล้าและความน่าเชื่อถือ ยิ่งเชื่อในตัวคนทำนายหรือเป็นคำทำนายมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งยอมรับคำทำนายว่าเป็นจริงมากเท่านั้น
ข้อสาม คำทำนายควรบอกถึงสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต ปกติแล้วคนเรามักจะพอใจเมื่อได้รู้เรื่องราวที่ดีของตัวเอง เพราะเป็นความต้องการพื้นฐานลึกๆ ในจิตใจของทุกคน หรือถ้าจะต้องกล่าวถึงข้อเสียหรือสิ่งไม่ดี ก็ควรสื่อสารในแง่มุมที่ให้ความหวังหรือกำลังใจแทรกเข้าไปในตอนท้ายด้วย
นอกจากนี้ยังมีเทคนิคที่ช่วยทำให้คำทำนายน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก นั่นคือ Cold Reading
Cold Reading เป็นการอ่านใจที่พยายามล้วงเอาข้อมูลเพื่อสร้างทำนายพฤติกรรมหรือนิสัยส่วนตัวมากๆ อีกทีหนึ่ง โดยวิเคราะห์รายละเอียดจากเพศ อายุ รูปร่าง ภาษากาย การแต่งตัว การใช้คำพูดคำจา น้ำเสียง การแสดงออกทางสีหน้า รวมถึงภูมิหลังของคนคนนั้น ซึ่งเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญ แต่โดยส่วนมากจะเริ่มต้นจากการถามคำถามง่ายๆ เช่น ตอนนี้คุณรู้สึกอย่างไร หรือมีเรื่องไม่สบายใจอะไรบ้าง ทำให้คนที่ถูกถามเผลอพูดเรื่องส่วนตัวออกมา หรือระบายความในใจอย่างพลั่งพรู ซึ่งจะเปิดโอกาสให้หมอดูเก็บข้อมูลแล้วถามต่อไปเรื่อยๆ ก่อนสรุปเป็นคำทำนายให้คนฟังรู้สึกว่าแม่นจนน่าตกใจ
อย่างคลิปต่อไปนี้คือการสาธิตให้เห็นวิธีการอ่านใจของ Derren Brown นักประสาทวิทยาชาวอังกฤษ ผู้เชี่ยวชาญการใช้เทคนิค Cold Reading
แต่ในกรณีเกิดข้อผิดพลาด เช่น หมอดูเผลอพูดอะไรผิดๆ ออกไป จนคนถูกทำนายเริ่มเอะใจ เพราะได้รับข้อมูลที่ขัดแย้งหรือไม่ตรงกับความรู้สึก ซึ่งหมอดูจะสังเกตได้จากการแสดงออกของน้ำเสียง สีหน้า และท่าทางที่เปลี่ยนไปคล้ายกำลังต่อต้าน ดังนั้น เทคนิคที่หมอดูจะใช้เมื่อรับรู้ได้ว่าคนฟังกำลังไม่เชื่อมั่นในคำทำนาย คือค่อยๆ เบี่ยงเบนคำทำนายใหม่ เพื่อแก้ต่างความผิดพลาดนั้นจนกว่าจะถูกต้อง จนกว่าจะแน่ใจว่าคนฟังกลับมาเชื่อตามเดิม
ลองทดสอบการอ่านใจได้ที่ Psychic Cold Reading Simulation
สุดท้าย แม้ว่าความเชื่อจะเป็นสิทธิส่วนบุคคล และการทำนายดวงดาวตามหลักวิชาโหราศาสตร์จะมีอยู่จริง แต่ในอีกมุมหนึ่งเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนที่คอยฉกฉวยโอกาสและกอบโกยผลประโยชน์ด้วยการหลอกลวงให้เชื่อใจอยู่จริงๆ หากหลงเชื่ออาจสร้างความเสียหายได้อย่างคาดไม่ถึง ดังนั้น การได้รู้ความจริงจากคำอธิบายทางจิตวิทยาที่เปิดเผยให้เห็นเบื้องลึกเบื้องหลังความ (ไม่) ลับของคำทำนาย จะทำให้เราทุกคนตาสว่างมากขึ้น รวมทั้งมีสติมากพอจนไม่ตกเป็นเหยื่อทางความคิดของมิจฉาชีพเหล่านี้
References: