หมกมุ่นทางเพศ

หมกมุ่นทางเพศ! เมื่อความเงี่ยนเกินกว่าจะปกปิด ถูกระบายออกด้วยวิธีการวิปริต ผิดแผก

เงี่ยน (ก.) อยากจัด, กระหายจัด, มีความรู้สึกอยากหรือกระหายเป็นกำลัง (โดยมากใช้เฉพาะของเสพติดและกามคุณ)

     ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าคุณจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจไปบ้าง หรืออาจถึงขั้นเกิดความรู้สึกลังเลว่าควรอ่านบทความนี้ต่อไปหรือไม่ดี แต่สบายใจได้ และไม่จำเป็นต้องทำท่าทีเคอะเขิน เพราะว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้จะไม่กระตุ้นเร้าอารมณ์หรือความต้องการทางเพศใดๆ แต่จะทำให้คุณได้รู้และเข้าใจพฤติกรรมและการแสดงออกแปลกๆ จากความใคร่อยากทางเพศของคนที่ถูกตำหนิว่า บ้ากาม

     บ้ากามในที่นี้ หมายถึงอาการหมกมุ่นอยู่กับความต้องการทางเพศซึ่งเกิดขึ้นเพราะถูกกระตุ้นโดยลักษณะบางอย่างในตัวคน สัตว์ วัตถุสิ่งของ หรือสถานการณ์เฉพาะเจาะจง จนทำให้รู้สึกตื่นตัวทางเพศ (sexual arousal) ขั้นรุนแรง และเลือกระบายความเงี่ยนเหล่านั้นด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม ท้ายที่สุดเกิดเป็นปัญหาทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น รวมถึงสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในสังคมด้วย แต่คำถามที่ตามมาคือวิธีการระบายความใคร่แบบไหนล่ะที่เข้าข่ายบ้ากาม

 

     แรกเริ่มเดิมที่นักเพศวิทยา ไม่อยากจะตีตราความต้องการทางเพศแปลกๆ ว่าเป็นความผิดปกติด้วยซ้ำ ไม่มีใครบ้ากามทั้งนั้น เพราะพวกเขามีความคิดเห็นว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติ อารมณ์ทางเพศที่เกิดขึ้นกับทุกคนล้วนเป็นความรู้สึกของร่างกายที่ต้องการตอบสนองสัญชาตญาณของมนุษย์  เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ให้อยู่รอดต่อไปเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุผลทางวิวัฒนาการ

     ด้วยเหตุนี้เอง ในปี 1903 Friedrich Salomon Krauss นักเพศวิทยาชาวออสเตรีย จึงคิดสร้างศัพท์ใหม่ขึ้นมาหนึ่งคำเพื่อใช้เรียกความสนใจปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศด้วยสิ่งอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเรือนร่างของคนด้วยกันเองว่า Paraphilia ซึ่งเกิดจากรากศัพท์ภาษากรีกโบราณสองคำ คือ para หมายถึง beside และ philia หมายถึง love เพื่อสื่อความหมายกลางๆ โดยไม่ได้ตัดสินว่าความสนใจแบบนี้เป็นเรื่องดีหรือแย่

     แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความโลกสวยของเหล่านักเพศวิทยาก็ถึงกาลอวสาน เพราะความสนใจปลุกเร้าอารมณ์ทางเพศด้วยสิ่งอื่นกลับกลายเป็นประเด็นหนักข้อและทวีความรุนแรงมากขึ้นจนสร้างปัญหาที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวและคุกคามทางเพศ

     นักจิตวิทยาและจิตแพทย์จึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง โดยใช้คำเรียกใหม่คือ Paraphilic Disorders ควบคู่กับ Sexual Deviation หรือการเบี่ยงเบนที่เกี่ยวกับเพศ และชี้เฉพาะพฤติกรรมกระตุ้นเร้าความใคร่ซึ่งต้องเกิดขึ้นจากสิ่งอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากคน แต่ถ้าเกิดขึ้นกับคน คนคนนั้นต้องไม่สมยอมร่วมเพศด้วยโดยเฉพาะเด็ก แล้วเป็นไปในลักษณะบังคับขืนใจและทำให้รู้สึกอับอาย หรือถ้าทั้งสองฝ่ายยินยอม ต้องเป็นการร่วมเพศที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน สำหรับประเทศไทยพบว่ามีการแปลคำศัพท์เหล่านี้ไว้หลากหลายตั้งแต่โรคกามวิปริต กลุ่มกามวิตถาร และภาวะเบี่ยงเบนทางเพศ

 

     เมื่อความต้องการทางเพศของคนเราสามารถลื่นไหลไม่เคยหยุดนิ่งและมีโอกาสถูกกระตุ้นได้จากทุกสิ่งรอบตัว จนไม่มีทางบอกได้ชัดเจนว่ามีกี่รูปแบบ แต่เท่าที่ Anil Aggrawal แพทย์ผู้ศึกษาและเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ได้รวบรวมความต้องการทางเพศแปลกๆ ไว้ พบว่ามีทั้งหมด 547 รูปแบบ ที่บางคนเห็นแล้วเกิดอารมณ์ปลุกเร้าทางเพศจนต้องการสำเร็จความใคร่ ซึ่งมีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ และไม่น่าเชื่อด้วยซ้ำว่าสิ่งเหล่านี้จะให้คนเงี่ยนได้จริงๆ

     เช่น ความสกปรกซกมกหรือสิ่งของที่เปื้อนดินโคลน (Mysophilia) อ้วก (Emetophilia) ต้นไม้ (Dendrophilia) คันธนู (Toxophilia) หรือแม้แต่ยานยนต์ทุกประเภท (Mechanophilia) แต่อาการที่แวดวงการแพทย์เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกี่ยวข้องกับคดีความหรือกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลจนต้องให้การรับรองว่าเป็นอาการป่วย มีทั้งหมด 8 รูปแบบเท่านั้น

 

หมกมุ่นทางเพศ
Lady Godiva by John Collier (1897) Herbert Art Gallery and Museum, Coventry

 

     ตามตำนานปรัมปราของประเทศอังกฤษ มีหญิงสูงศักดิ์ชื่อว่า Godiva เธอเป็นภรรยาของผู้ปกครองเมืองโคเวนทรี สามีของเธอใช้อำนาจเด็ดขาดเพื่อเรียกเก็บภาษีจากประชาชนอย่างขูดเลือดขูดเนื้อ เมื่อเธอรู้เข้าจึงไม่สบายใจกับการกระทำของสามี และมักจะขอร้องให้เขาลดภาษีลงอยู่บ่อยครั้ง จนวันหนึ่งสามีของเธอพูดตัดรำคาญว่า จะลดภาษีให้ก็ต่อเมื่อเธอยอมแก้ผ้าขี่ม้าวนทั่วเมือง ด้วยจิตใจมีเมตตา เธอไม่สนใจว่าจะถูกประณามจากการกระทำต่ำช้า เธอบอกกับชาวบ้านให้ทุกคนปิดประตูหน้าต่างจนมิดชิดและเก็บตัวอยู่ในบ้านขณะที่เธอขี่ม้าผ่านไป ในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ เธอช่วยให้ชาวบ้านจ่ายภาษีน้อยลง

     ถึงแม้ว่า Godiva จะได้รับการยกย่องให้เป็นวีรสตรี แต่การแก้ผ้าขี่ม้าของเธอกลายเป็นต้นกำเนิดของชื่อโรค Lady Godiva Syndrome ซึ่งใช้เรียกคนที่ตั้งใจเปิดเผยอวัยวะเพศในที่สาธารณะอยู่ระยะหนึ่งก่อนจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Exhibitionistic Disorder เพื่อใช้สื่อความหมายให้กับอาการของโรคมากขึ้น เพราะคนที่ต้องการความตื่นเต้นจากการเปิดของสงวนให้ผู้อื่นเห็น ส่วนใหญ่เป็นเพศชายเกือบทั้งหมด ที่สำคัญคนเหล่านี้จะไม่ทำร้ายคนอื่น แค่ทำให้ตกใจจนกรี๊ดแล้วค่อยกลับไปสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง ซึ่งไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กับ Godiva

     เรื่องไม่จบแค่นั้น เพราะระหว่างที่ Godiva ล่อนจ้อนขี่ม้าผ่านร้านตัดเสื้อแห่งหนึ่ง ด้านหลังกำแพงกลับมีช่างเจ้าของร้านไม่ยอมทำตามที่เธอขอร้องไว้ เขาแอบมองเรือนร่างที่สวยงามของเธอผ่านรูเล็กๆ บนผนัง สุดท้ายเขาถูกชาวบ้านรุมประชาทัณฑ์ พฤติกรรมถ้ำมองเช่นนี้ต่อมาถูกคนฝรั่งเศสเรียกว่า Voyeuristic Disorder หมายถึงคนที่ลักลอบแอบดูผู้อื่นเปลือยกายหรือร่วมเพศ เพื่อกระตุ้นเร้าอารมณ์ทางเพศของตนเอง

 

     ในชีวิตประจำวันเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนแปลกหน้าที่รายล้อมอยู่รอบตัวนั้นมีความต้องการทางเพศปกติหรือไม่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากอย่างคอนเสิร์ตหรือสถานบันเทิงเริงรมย์ ซึ่งทุกคนต่างเบียดเสียดและอัดแน่นอยู่ด้วยกัน ขณะที่เราสนุกสนานไปตามเสียงดนตรี ก็อาจมีใครบางคนกำลังรื่นรมย์ไปพร้อมๆ กับเรา เพราะการได้สัมผัสหรือแตะเนื้อต้องตัวคือสวรรค์ของผู้ที่มีอาการ Frotteuristic Disorder และการแสดงออกที่รุนแรงที่สุดคือการใช้อวัยวะเพศถูไถใส่ โดยที่ผู้อื่นไม่ยินยอมหรืออาจไม่รู้ตัวเลยก็ได้

     เขยิบมาพูดเรื่องบนเตียงกันบ้าง คนที่มีความสุขหรือเกิดอารมณ์ทางเพศจากวัตถุสิ่งของซึ่งไม่ใช่เซ็กซ์ทอยและไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศ หรือเกิดอารมณ์เพราะเห็นและได้สัมผัสอวัยวะเฉพาะส่วนซึ่งนอกเหนือไปจากอวัยวะเพศ ทั้งหมดเป็นอาการเบี่ยงเบนทางเพศที่เรียกว่า Fetishistic Disorder โดยส่วนของร่างกายที่ทำให้คนเหล่านี้หวั่นไหวมากที่สุดคือปลายเท้า (อาจรวมถึงถุงเท้าด้วย) รักแร้ สะดือ และเส้นผม แต่สำหรับสิ่งของยอดนิยมคือชุดชั้นใน และเสื้อผ้าของผู้อื่น บางรายถึงขั้นเก็บสะสมไว้เป็นคอลเล็กชันส่วนตัว

 

หมกมุ่นทางเพศ
Fifty Shades of Grey (2015) Universal Pictures

 

     ตัวอย่างคู่รักที่เข้าข่ายจนไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ คริสเตียน เกรย์ และ อนาสตาเซีย สตีล จากนิยายชุด Fifty Shades ซึ่งบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่ชื่นชอบการกระตุ้นเร้าทางเพศเฉพาะแบบ ทั้งเลือกใช้อุปกรณ์เสริมอย่างโซ่ แส้ กุญแจมือ และกำหนดบทบาทบนเตียงของแต่ละฝ่ายชัดเจน นั่นคือฝ่ายหนึ่งเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อทำให้คนอื่นเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานทางร่างกายและจิตใจ คิดว่าตนเองมีอำนาจเหนือกว่าคู่นอน ดังนั้นจะทำอะไรก็ย่อมได้ เรียกอาการนี้ว่า Sexual Sadism Disorder ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อทำให้ตัวเองเจ็บปวด อับอาย หรือรู้สึกทุกข์ทรมาน ต้องการให้คู่นอนทำร้ายร่างกาย เช่น ทุบ เฆี่ยนตี รวมถึงด่าว่า ดูถูกเหยียดหยาม แต่ที่อันตรายที่สุดคือการพยายามทำให้ตัวเองขาดอากาศหายใจ นี่คืออาการของ Sexual Masochistic Disorder

     ในความเป็นจริงไม่ใช่ทุกคนที่มีพฤติกรรมทางเพศผิดแปลกแล้วจะถูกตีตราว่าเป็นอาการป่วยทั้งหมด เพราะสำหรับบางคนสิ่งนี้ถือเป็นเพียงรสนิยมทางเพศเฉพาะบุคคลเท่านั้น ทำด้วยความสมัครใจโดยไม่ได้สร้างผลเสียหรือความเดือดร้อนทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น รวมถึงไม่ทำให้เกิดผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินชีวิตและกิจวัตรประจำวัน จึงอยู่ในกลุ่มคนที่สนใจ Paraphilia เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องรักษาหรือแก้ไขรสนิยมทางเพศ ผิดกับคนที่ทำแล้วเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา แบบนี้ถึงจะเข้าขั้นอาการป่วยในกลุ่ม Paraphilic Disorders

     คดีฆาตกรรมต่อเนื่องหรืออาชญากรรมอื้อฉาวที่มีเด็กเป็นเหยื่อหรือผู้เคราะห์ร้าย ส่วนใหญ่ฆาตกรจะมีอาการกามวิปริตที่เรียกว่า Pedophilic Disorder หมายถึงคนที่มีอารมณ์ทางเพศกับเด็ก (อายุต่ำกว่า 13 ปี) โดยใช้วิธีล่อล่วงหรือลักพาตัวมาข่มขืนก่อนที่จะทรมานและฆ่า เหมือนกับ Jürgen Bartsch ฆาตกรชาวเยอรมันที่ใช้วิธีการหลอกล่อเด็กผู้ชายให้มาสนองตัณหาอารมณ์เเล้วฆ่าทิ้ง หรือ Marc Dutroux ฆาตกรชาวเบลเยียมผู้ใช้วิธีการแบบเดียวกันกับเด็กผู้หญิง

     และอาการสุดท้ายที่ดูเหมือนว่าจะร้ายแรงต่อผู้อื่นน้อยที่สุด (ถ้าไม่ได้ไปขโมยชุดของคนอื่นนะ) แต่กลับมีความสับสนในตัวเองมากที่สุด เพราะชอบพอกับการแต่งตัวไม่ตรงกับเพศหรือที่เรียกว่า Transvestic Disorder ตลอดเวลาที่ได้สวมชุดจะรู้สึกมีความสุข และมีอารมณ์ทางเพศเกิดขึ้น ส่วนมากคนเหล่านี้มักจะอยู่ในโลกส่วนตัวมากกว่าจะออกมาพบเจอโลกภายนอก เพราะลึกๆ แล้วกลัวไม่ได้รับการยอมรับ อาจวิตกกังวลหรือมีอาการซึมเศร้าร่วมด้วย

 

     แม้ว่าความต้องการทางเพศมีอยู่ภายในตัวเราทุกคนก็จริง แต่การแสดงออกหรือระบายความใคร่อย่างไม่เหมาะสม เพราะไม่สามารถยับยั้งชั่งใจความกระเหี้ยนกระหือรือในกามได้ ในที่สุดแล้วจะทำให้เกิดปัญหาตามมา พฤติกรรมฝักใฝ่ในกามวิปริตจึงเป็นความบกพร่องที่ผูกติดอยู่กับบาดแผลในใจและความต้องการลึกๆ บางอย่างที่ขาดหายไปในช่วงชีวิตวัยเด็ก ดังนั้น สิ่งที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้พฤติกรรมบ้ากาม ก็คือการเรียกร้องความสนใจและการยอมรับจากคนอื่นๆ ด้วยความหวังว่าคงจะเป็นการเติมเต็มความรู้สึกขาดแหว่งเหล่านั้นได้บ้าง

 


Reference: