hot

HOT | ฮ็อตกว่าอากาศก็เธอนั่นแหละ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า hot มาบรรยายคนหน้าตาดี

“I’m so hot!” เป็นหนึ่งในประโยคปล่อยเด๋อยอดฮิตตลอดกาลสำหรับผู้เริ่มพูดภาษาอังกฤษ (รวมถึงตัวเราเองด้วย)

     เนื่องจากความหมายสองแง่สองง่ามของมันที่แปลได้ทั้ง ‘ฉันร้อนมาก’ (เพราะสภาพอากาศ) และ ‘ฉันเร่าร้อนมาก’ (เพราะฉันเซ็กซี่และดูดี ในบางบริบทก็ครอบคลุมไปถึงความต้องการมีเพศสัมพันธ์) จนเพื่อนต่างชาติเคยหันมามองด้วยท่าทีตกใจ ต้องอธิบายแก้เขินกันไปว่า I mean… the weather is hot. เพื่อจะสื่อให้ชัดเจนว่า อากาศมันร้อนนะยู ไม่ใช่ฉันที่เร่าร้อนแบบนั้น

     ความกำกวมที่ว่านี้ ทำให้เราตั้งข้อสงสัยขึ้นมาว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่คำว่า ‘hot’ ถูกใช้บรรยายคนเซ็กซี่ หน้าตาดี และยังเปลี่ยนความหมายจากคำว่า ‘ร้อน’ ในเชิงอุณหภูมิ มาเป็นคำว่า ‘ยอดนิยม’ หรือ ‘ยอดเยี่ยม’ เพื่อใช้กับสิ่งของและคำนามอื่นๆ เช่น คอลเล็กชันเสื้อผ้าสุดฮ็อต และ ประเด็นสุดฮ็อต ด้วย เราขอชวนคนฮ็อตทุกคนมาหาคำตอบเหล่านี้ไปด้วยกัน

 

หนึ่งพันปีแห่งความฮ็อต

     Cambridge Dictionary อธิบายความหมายของคำว่า hot ไว้หลากหลายมาก ความหมายแรกคือ (adj.) having a high temperature (มีอุณหภูมิสูง) เช่น it’s too hot in Thailand. หรือแปลว่า (adj.) spicy (เผ็ด) เช่น I like hot curry. นอกจากนี้ยังมีความหมายอย่างไม่เป็นทางการ (informal) ว่า (adj.) sexually attractive, feeling sexually excited (มีความดึงดูดทางเพศ, รู้สึกมีอารมณ์ทางเพศ) เช่น I’m hot for you, baby.

     แล้วคำว่า hot เริ่มเข้ามามีบทบาทในการบรรยายคนและความรู้สึกทางเพศตั้งแต่เมื่อไหร่ เราค้นพบว่ามันไม่ใช่คำสแลงที่เพิ่งมีขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปีนี้ แต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ของเรา ‘ฮ็อต’ กันมาเป็นพันปีแล้ว

 

hot
ภาพวาดสีน้ำมัน Dante and Beatrice (1883) โดย Henry Holiday

     Oxford Dictionary มีการอ้างถึงการใช้คำว่า hot ในความหมายว่า เซ็กซี่ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 971 โดยขณะนั้น hot หมายความว่า การแสดงความรู้สึกอย่างรุนแรง (having or showing intensity of feeling), เร่าร้อน (fervent), ร้อนแรง (ardent), มีใจรัก, ซึ่งมีความต้องการทางเพศ (passionate), กระตือรือร้น (enthusiastic) เรียกว่าเป็นความหมายที่แทบไม่แตกต่างจากคำว่า hot ในทุกวันนี้เลย

     เจฟฟรีย์ ชอเซอร์ (Geoffrey Chaucer) บิดาแห่งกวีนิพนธ์อังกฤษ ยังเคยหยิบยกคำว่า hot มาบรรยายถึงความรู้สึกร้อนแรงทางเพศในบทกวีของเขาเมื่อปี ค.ศ. 1385 ด้วย

     “Hot he was, and lecherous as a sparrow” (เขาร้อนแรงและเปี่ยมด้วยตัณหาราวกับนกกระจอก)

     แม้จะไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่าทำไมคำว่า hot ถึงเข้ามามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเพศ แต่นักภาษาศาสตร์ก็ตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเกี่ยวกับอุณหภูมิของร่างกายที่สูงขึ้นเมื่อมีการทำกิจกรรมทางเพศ หรืออาการร้อนรุ่มเมื่อเจอหนุ่มหล่อสาวสวยจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และหลังจากนั้นอีกหลายร้อยปี คริสต์ศาสนาก็สนับสนุนแนวคิดว่าการมีเซ็กซ์หรือความรู้สึกทางเพศเป็นแรงจูงใจจากปีศาจที่มาจากนรก ซึ่งเกี่ยวข้องกับไฟและความร้อนแรง ทำให้เซนส์ของความรู้สึกทางเพศค่อยๆ แทรกซึมมากับคำว่า hot ผ่านหลายยุคหลายสมัย

 

You are such a hot mess!

     ต่อมาในปี ค.ศ. 1899 คำว่า hot เริ่มถูกเอามาใช้ในสื่อโฆษณาสินค้า เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมให้ผู้เสพรู้สึกตื่นเต้นกับสินค้าดังกล่าวมากขึ้น และยังถูกนำมาใช้บรรยายผู้หญิงสวยในซีรีส์อเมริกันยุคบุกเบิกหลายเรื่อง โดยมักจะใช้เรียกพวกเธอว่า Hot Chick

     แต่หนึ่งในคำสแลงว่า hot ที่กำลังเป็นที่นิยมและแพร่หลายที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้นคำว่า ‘Hot Mess’ ซึ่งรวมเอาคำว่า hot ในความหมายว่า เซ็กซี่ เร่าร้อน เข้ากับคำว่า mess (n.) ความยุ่งเหยิง สกปรก

     Urban Dictionary ได้ให้ความหมายของคำว่า hot mess เอาไว้ว่า

     “When ones thoughts or appearance are in a state of disarray, but they maintain as undeniable attractiveness or beauty.” 

     หมายความว่า สภาวะเมื่อคนๆ หนึ่งมีความคิดและรูปลักษณ์ที่ยุ่งเหยิงและสับสน แต่ยังคงสวยและมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจอย่างปฏิเสธไม่ได้” กลายเป็นการทำให้คำที่มีความหมายเชิงลบอย่าง mess ดูดีและเก๋ชิคขึ้นมาในทันที

 

hot

 

     คำๆ นี้ถูกนำไปใช้ในภาพยนตร์ ซีรีส์ เพลง และเกมโชว์ สัญชาติอเมริกันมากมาย ตัวอย่างเช่นเนื้อเพลง Goddess จากอัลบั้มใหม่ล่าสุดของ Avril Lavigne

‘He thinks I’m sexy in my pajamas
The more I am a hot mess
The more he goes bananas’

เขาคิดว่าฉันเซ็กซี่เมื่อใส่ชุดนอน ยิ่งฉันเป็น hot mess มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขาคลั่งไคล้ (to go banana) มากขึ้นเท่านั้น

 

     นอกเหนือจาก hot mess และ hot chick แล้ว ปัจจุบันเรายังเห็นการใช้คำว่า hot มาบรรยายคนที่ดูดี สวย หล่อ และมีความน่าดึงดูดอีกหลายคำ เช่น hottie, hot daddy, hot bae และอีกมากมาย จนเป็นเรื่องน่าคิดเหมือนกันว่า ความร้อนและความ ‘เผ็ช’ ที่แฝงมากับความสวยเซ็กซี่ที่เรารู้สึกกันทุกวันนี้ จริงๆ เรารู้สึกอย่างนั้นกันจริงๆ หรือเป็นผลพวงจากการพูดคำว่า hot ในความหมายนี้ติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปีกันแน่

 


ที่มา: