ในคอลัมน์ Love Actually บทความแรกที่ฉันเขียนคือ ‘เราเติบโตผ่านความสัมพันธ์’ การเขียนถึงความรักและความสัมพันธ์ในแง่มุมต่างๆ เปิดโอกาสให้ฉันได้พิจารณาถึงมุมมองความรักของตนเอง ได้ทำความเข้าใจในหลายด้านความสัมพันธ์เท่าที่สามารถเข้าใจและเอามาถ่ายทอดได้ เป็นเรื่องดีเหมือนกันที่ได้ทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมา เคยผ่านความสัมพันธ์แบบไหน เคยรัก เคยถูกรักมาอย่างไร เคยเผลอไผลทำร้ายใคร เคยเจ็บปวดจากความรักแบบใดมาแล้วบ้าง และจวบจนวันนี้ ฉันเติบโตมามากน้อยแค่ไหน ทุกความสัมพันธ์ย่อมมอบบางบทเรียนแก่ชีวิต และอย่างรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม การเติบโตจากภายในจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติได้...
ฉันเพิ่งได้ดูวิดีโอคลิปสั้นๆ ของ โอปราห์ วินฟรีย์ ที่เธอพูดถึงการรับผิดชอบต่อชีวิต โดยเล่าผ่านเรื่องราวของเธอเอง ในวัย 6 ปี โอปราห์ถูกจับแยกจากยายที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็ก เธอต้องไปสู่ที่ทางใหม่ที่ไม่คุ้นเคย เหงาและแปลกแยก การเปลี่ยนผ่านในยามนั้นทำให้เธอเรียนรู้บทเรียนที่เธอบอกว่าช่างทรงพลัง “เรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง” ...
เรื่องนี้เกิดขึ้นและคลี่คลายไปได้สักพักแล้ว เล่าไป คุณก็อาจมองว่าเป็นปัญหาหยุมหยิมในความสัมพันธ์ แต่ไม่รู้สิ พอจัดการได้ ฉันกลับรู้สึกพอใจในการแก้ปัญหานี้ของตนเอง ฉันซื้อกล่องถนอมอาหารมาใบหนึ่ง กล่องพลาสติกที่ไม่ได้ราคาแพงหรือทำจากวัสดุชั้นดีอะไร แต่ก็หมายมั่นว่าจะใช้กล่องใหญ่ใบนี้สำหรับใส่ข้าวที่หุงเผื่อไว้กินมื้ออื่น ซื้อมาไม่กี่วัน ฉันก็พบว่าก้นกล่องใบนั้นเบี้ยวบุบเสียแล้ว ฉันชูกล่องขึ้น หันถามคนรัก กล่องมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร เขาตอบเรียบๆ เอากล่องข้าวเข้าอุ่นในไมโครเวฟแต่ไม่ได้เปิดที่ล็อกทั้งสี่ด้าน...
ฉันอ่านข่าวนี้แล้วต้องอมยิ้ม แซนดรา บูลล็อก สารภาพในรายการ The Ellen DeGeneres Show ว่าเธอแอบชอบ คีอานู รีฟส์ ตั้งแต่ร่วมเล่นภาพยนตร์เรื่อง Speed พอถึงคราวคีอานูมาเยือนรายการทอล์กโชว์นี้บ้าง เอลเลน ผู้เป็นพิธีกรรายการ จึงทำหน้าที่เป็นทูตส่งสาร “เธอคงไม่รู้ว่าผมตกหลุมรักเธอเหมือนกัน” ฝ่ายชายเผยความในใจ ...
ไม่กี่วันมานี้ จู่ๆ ฉันก็นึกถึงชื่อนักเขียนคนหนึ่งขึ้นมา นักเขียนที่แนะนำคำว่า ‘Positive Thinking’ ให้แก่ชีวิตช่วงวัยเรียนของฉัน งานเขียนของเขาอธิบายความหมายของคำได้กระจ่าง อธิบายด้วยเรื่องเล่าอบอุ่นใจ ด้วยมุมมองอันสว่างไสว ด้วยถ้อยคำเรียบง่ายแต่เปรี้ยงกลางใจ ฉลาดเล่าด้วยเข้าใจในชีวิตอย่างลุ่มลึก ฉันจำได้ อ่านหนังสือของเขาทีไรรู้สึกราวกับโลกนี้ไร้เรื่องทุกข์ร้อน หรือแม้จะมีบ้างที่ร้อนก็ผ่อนเป็นเย็นลงได้ง่ายดาย เขาชื่อ โรเบิร์ต ฟูลกัม...
เป็นบ่ายที่ร้อนอบอ้าว พัดลมเพดานทำงานเต็มกำลังในห้องกว้างที่เตียงผู้ป่วยตั้งเรียง แต่ถึงอย่างนั้นความร้อนผ่าวก็ยังหอบตัวเคลื่อนหมุนไปทั่วห้อง กลิ่นโรงพยาบาลที่มีลักษณะเฉพาะโชยชัด น้ำยาฆ่าเชื้อเย็นจมูกแต่ไม่หอม กลิ่นยาเม็ดที่รู้สึกได้ถึงรสขมเฝื่อน กลิ่นผ้าปูเตียงที่ผ่านการใช้งานซักซ้ำจนเป็นสีอมเหลือง และกลิ่นกายของคนเจ็บป่วย ฉันเดินไปถึงข้างเตียงที่แม่นอนอยู่ ก้มหอมแก้มแม่ แม่เป็นผู้หญิงที่ตัวหอมอยู่เสมอ แต่พอต้องนอนโรงพยาบาลนานวัน ก็เหมือนกลิ่นโรงพยาบาลจะติดตามตัวแม่ไปด้วย ...
ยามนั้น ฉันยังเด็กนัก เพิ่งเข้าสู่วงการวัยรุ่นรู้จักรัก และแน่นอน ส่วนใหญ่แล้วเรามักถูกรับน้องด้วยความผิดหวัง ฉันร้องไห้คร่ำครวญกับพี่สาวร่วมงานผู้สนิทชิดเชื้อ เล่าถึงความสัมพันธ์ซ้อนทับ เขาเลือกคลุมเครือกับฉัน แต่ชัดเจนกับอีกฝ่าย ฉันพยายามหาข้อแก้ตัวให้ความสัมพันธ์ที่ไม่พอดีนี้ พี่สาวบอกฉันแค่ว่าเรื่องแบบนี้ “ใช้หัวแม่โป้งตีนคิดก็ยังคิดได้” หากนี่เป็นคำแนะนำ ก็เป็นคำแนะนำที่แรงกระแทกหน้าที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้รับ ฉันไม่เคืองพี่สาวเลย กลับกัน...
ช่วงสองสามปีแรกในการทำงานในแวดวงนิตยสารของฉัน งานหนึ่งที่ได้ทำคือการสัมภาษณ์คู่รักคนดังเพื่อนำมาเขียนลงในนิตยสาร ความอ่อนด้อยประสบการณ์ของวัยนั้นทำให้ฉันตั้งคำถามวนเวียนอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่งในคำถามภาคบังคับของฉันคือ “ทำไมคุณถึงรักคนคนนี้” ฉันได้รับคำตอบกลมๆ กลางๆ จากหลายคู่ เช่นว่า “เพราะเขาเป็นคนดี” “เพราะเธอเป็นคนรักครอบครัว” “เพราะเขาดูแลเอาใจใส่ดี” “เพราะเธอเป็นคนขยันทำงาน” เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าเรารักใครคนหนึ่งเพราะเขาเป็นคนดี แล้วทำไมเราไม่รักคนดีคนอื่นด้วยเล่า...
เคยมีคนถามฉันว่าเชื่อเรื่องโซลเมต (Soulmate) ไหม แน่นอน ฉันตอบว่าเชื่ออย่างไร้ไขว้เขว เขาถามต่อว่าโซลเมตสำหรับฉันคือใคร ฉันตอบกระชับ คือสองคนที่พบกันเพื่อร่วมเรียนรู้ผ่านความสัมพันธ์และพัฒนาจิตวิญญาณ “แล้วถ้าทั้งสองไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน คุณยังจะเรียกว่าโซลเมตอยู่ไหม?” ฉันเพิ่งเปิดดูภาพยนตร์เรื่อง Once...
เมื่อปลายปีที่แล้ว ฉันเขียนหนังสือรวมเรื่องสั้นออกมาเล่มหนึ่ง และหนึ่งเรื่องในเล่มเล่าถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ลูกสาวตั้งคำถามกับแม่ของเธอ ทำไมแม่ถึงยังยอมให้พ่อทำร้ายจิตใจอยู่ได้ ทำไมยังนิ่งให้สามีแสดงอำนาจกดขี่ราวกับภรรยาเป็นหญิงไร้ศักดิ์ศรี ทำไมถึงไม่ยุติชีวิตคู่ที่มีแต่ความฝืนทน ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยความสงสัยเช่นเดียวกับที่ตัวละครของฉันสงสัย อะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งทนได้กับความสัมพันธ์ที่กัดกร่อนหัวใจหรือแทบทำลายชีวิต นานมากแล้ว ฉันเคยคุยกับแม่ถึงเรื่องนี้ ถามความเห็นของแม่ว่าทำไมสามีภรรยาหลายคู่ที่มีปัญหากันบ่อยครั้งจนดูเหมือนไม่รักกันแล้ว ถึงยังเลือกอยู่ด้วยกันต่อไป ...
ฉันมีความรักของชายคนหนึ่งมาเล่าค่ะ เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนาน เรียบง่าย สุขและทุกข์ได้เท่าที่คู่รักคู่หนึ่งพึงมี เขาและเธอพบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ เรียกสองคนนี้ว่าเป็นคู่รักในฝัน ทั้งคู่เข้ากันได้ดี มีรสนิยม มีไลฟ์สไตล์ และมีจุดมุ่งหมายของชีวิตไปในทางเดียวกัน หลังจบการศึกษา เขาและเธอก็ช่วยกันทำงานสร้างฐานะ แต่งงาน ซื้อบ้านหนึ่งหลัง และมีลูกในอีกไม่กี่ปีถัดมา...
“ชีวิตแต่ละวันของคุณคิมจียองเสมือนอยู่กลางสมรภูมิรบ หากคลายใจนิดเดียวมีหวังคงพลาดเลือดนอง เธอไม่ว่างมากพอจะสังเกตทุกข์สุขของใครอื่น ความเสียใจน้อยใจโรยตัวลงทับถมบนสายสัมพันธ์คนทั้งคู่ ดุจฝุ่นผงบนหลังตู้เย็นหรือชั้นติดผนังห้องน้ำ แม้จะเห็นเต็มสองตา แต่ก็เพียงปล่อยปละ ยอมรับให้เป็นไปเช่นนั้น” ฉันกำลังอ่านหนังสือเรื่อง คิมจียอง เกิดปี 82* อยู่ค่ะ เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งที่เสมือนเป็นตัวแทนเพศหญิงอีกหลายคนในสังคมเกาหลีใต้ ที่ต้องแบกรับความคาดหวังและความกดดันในหลายสถานะ ทั้งความเป็นลูก เป็นเมีย...