ช่วงสองสามปีแรกในการทำงานในแวดวงนิตยสารของฉัน งานหนึ่งที่ได้ทำคือการสัมภาษณ์คู่รักคนดังเพื่อนำมาเขียนลงในนิตยสาร ความอ่อนด้อยประสบการณ์ของวัยนั้นทำให้ฉันตั้งคำถามวนเวียนอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่งในคำถามภาคบังคับของฉันคือ “ทำไมคุณถึงรักคนคนนี้” ฉันได้รับคำตอบกลมๆ กลางๆ จากหลายคู่ เช่นว่า “เพราะเขาเป็นคนดี” “เพราะเธอเป็นคนรักครอบครัว” “เพราะเขาดูแลเอาใจใส่ดี” “เพราะเธอเป็นคนขยันทำงาน” เคยคิดเล่นๆ ว่าถ้าเรารักใครคนหนึ่งเพราะเขาเป็นคนดี แล้วทำไมเราไม่รักคนดีคนอื่นด้วยเล่า...
ฉันมีความรักค่ะ เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานและด้วยวัยก็มากพอที่จะแต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราวได้แล้ว แต่ฉันไม่เคยคิดอยากมีงานแต่งของตัวเองเลยสักครั้ง เดี๋ยวก่อน ฉันไม่ใช่พวกแอนตี้พิธีวิวาห์ เพียงแต่สบายใจที่จะรักกันไปแบบนี้ ซึ่งโชคดีที่บ้านเราต่างไม่ได้คาดหวังพิธีรีตองใดจากเราทั้งคู่ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันรู้สึกดีใจเสมอ เมื่อเพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้องที่รักจะเป็นฝั่งเป็นฝา ฉันไปร่วมงานด้วยความยินดีจากใจ เพราะไม่เคยเห็นภาพตัวเองในชุดเจ้าสาว ภาพพรีเวดดิ้งที่คู่รักถ่ายก่อนถึงวันแต่งจริงจึงเป็นเรื่องไกลตัวฉันมาก เข้าใกล้ที่สุดก็คือ เพื่อนบางคู่ขอให้ฉันและคนรักช่วยถ่ายภาพพรีเวดดิ้งให้ ฉันรับหน้าที่จัดท่าจัดทางให้บ่าวสาว ส่วนคนข้างๆ เป็นช่างภาพ...
เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินประโยคอันแสนคลาสสิกนี้ เมื่อเรากับเพื่อนถกเถียงกันถึงเรื่องความรักไปถึงจุดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่ต้องการจะมอบความรักให้ใครสักคน หรือไม่ก็เพิ่งประสบกับความล้มเหลวในเรื่องความรักมาหมาดๆ แต่ประเด็นที่น่าสนใจนั้นอยู่เบื้องลึกภายในประโยคนี้ ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใช่ไหม ที่เราจะรักคนอื่นเป็นก็ต่อเมื่อรักตัวเองได้เสียก่อน ประโยคเงื่อนไขทำนองนี้มักจะใช้สอนใจหรือใช้ทำใจสำหรับคนที่ไม่เคยเชื่อในความรัก แต่สำหรับคนที่เคยผ่านประสบการณ์หนักๆ ในเรื่องความรักมาแล้ว ประโยคนี้ได้กลายเป็นบทเรียนที่ผูกมัดความคิดและทัศนคติในเรื่องความรักและความสัมพันธ์จนแทบจะดิ้นไม่หลุด พร้อมยอมจำนนให้อย่างเต็มหัวใจว่าต่อจากนี้ไปเราจะต้องเป็นเช่นนี้เสมอ “ ความรักเป็นความรู้สึกพิเศษที่แสนจะเรียบง่าย เวลาที่เรามองความรักเป็นเรื่องซับซ้อน นั่นก็เพราะตัวเราเองปรุงแต่งความรักให้เต็มไปด้วยส่วนผสมที่รกรุงรังเกินไป ”...
คุณเคยสังเกตหรือรู้สึกไหมว่าสื่อสังคมออนไลน์ทำให้เราหวั่นไหวเรื่องความรักมากขึ้น แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ด้วยเทคโนโลยีสื่อสารยุคใหม่อย่างโซเชียลมีเดีย ไม่ได้ส่งผลแค่การสื่อสาร การเสพสื่อ หรือการทำธุรกิจเท่านั้น แต่เรื่องใกล้ตัวเราอย่างความรักและการจีบ ต่างก็มีความเกี่ยวข้องด้วยอย่างมีนัยสำคัญ จึงน่าสนใจไม่น้อยว่า โซเชียลมีเดียทำให้การจีบเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? แพลตฟอร์มออนไลน์ที่คนไว้จีบกันมีอะไรบ้าง? และใช้ยังไง? สื่อออนไลน์ช่วยให้คนจีบกันง่ายขึ้นหรือเปล่า? และที่สำคัญ มันแตกต่างกับการจีบกันในสมัยก่อนอย่างไร? ซึ่งคำตอบของคำถามต่างๆ เหล่านี้ เราจะมาอธิบายให้คุณได้เข้าใจ โดยอ้างอิงจากวิทยานิพนธ์และงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง...
เรื่องนี้เกิดขึ้นและคลี่คลายไปได้สักพักแล้ว เล่าไป คุณก็อาจมองว่าเป็นปัญหาหยุมหยิมในความสัมพันธ์ แต่ไม่รู้สิ พอจัดการได้ ฉันกลับรู้สึกพอใจในการแก้ปัญหานี้ของตนเอง ฉันซื้อกล่องถนอมอาหารมาใบหนึ่ง กล่องพลาสติกที่ไม่ได้ราคาแพงหรือทำจากวัสดุชั้นดีอะไร แต่ก็หมายมั่นว่าจะใช้กล่องใหญ่ใบนี้สำหรับใส่ข้าวที่หุงเผื่อไว้กินมื้ออื่น ซื้อมาไม่กี่วัน ฉันก็พบว่าก้นกล่องใบนั้นเบี้ยวบุบเสียแล้ว ฉันชูกล่องขึ้น หันถามคนรัก กล่องมีสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร เขาตอบเรียบๆ เอากล่องข้าวเข้าอุ่นในไมโครเวฟแต่ไม่ได้เปิดที่ล็อกทั้งสี่ด้าน...
หลายคนชอบนึกว่าความรักเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก แต่จริงๆ ความรักเกี่ยวข้องกับ ‘ทัศนคติ’ อย่างแยกไม่ออก เพราะทัศนคติเป็นตัวกำหนดวิธีคิดและการใช้ชีวิตของคนเรา เมื่อเรามีทัศนคติอย่างไร วิธีที่เรารักใครหรือมีความสัมพันธ์กับใครก็จะเป็นอย่างนั้น ดูง่ายๆ เช่น คนที่คิดว่าตัวเองไม่มีค่าพอที่จะได้รับความรัก คุณคิดว่าคนแบบนี้จะมีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพไหม? เพราะอย่าลืมนะว่าคนที่มองตัวเองไม่มีค่า พวกเขาก็ไม่ได้สนใจมากมายว่าคนที่เขาคบต้องดีหรือต้องคอยดูแลเอาใจใส่พวกเขา เพราะพื้นฐานคนลักษณะนี้ไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าพวกเขาคู่ควรกับความรักที่ดี ฉะนั้น ในบทความนี้ จะนำ 3 ทัศนคติสำคัญๆ...
ครั้งหนึ่งเราอ่านหนังสือ ไม่มีความเจ็บปวดใดที่คุณเอาชนะไม่ได้ และมีอยู่ตอนหนึ่งที่เราประทับใจมาก เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไข้หญิงรายหนึ่งที่มีปัญหา ‘กลัวความรัก’ โดยมีสาเหตุมาจากการมีประสบการณ์หรือปมไม่ดีในอดีต เธอเลยกลายเป็นคนกลัวการผูกพันกับใคร ไม่กล้าไว้ใจคน ทั้งที่ใจลึกๆ ก็อยากมีความรักดีๆ ผลคือผู้หญิงคนนี้ไม่มีความสุขและปัญหาในชีวิตรัก นักจิตบำบัดผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ก็เลยมอบหนังสือเล่มหนึ่งให้คนไข้หญิงอ่าน หนังสือเล่าถึงตัวละครที่เวลารักใครก็ทุ่มเทความรักให้เต็มหัวใจ แต่โชคร้ายที่ทุกครั้งต้องพบเจอแต่ความเจ็บปวด ตัวละครจึงตัดสินใจว่าจะไม่ขอรักใครอีกแล้ว แต่สุดท้ายตัวละครเองนี่แหละที่พบว่าการอยู่โดยไม่รักใครเลยต่างหาก คือสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง และมันทำให้เธอไม่มีความสุข นับจากนั้นมาตัวละครนี้ก็เลยตัดสินใจว่า เอาละ...
หลังเรียนจบ ในวันที่เก็บข้าวของเตรียมย้ายออกจากบ้านเพื่อมาเช่าห้องอยู่ลำพัง ฉันเจอกล่องใบเก่าที่เก็บภาพถ่ายของพ่อแม่ใบที่ชอบเอาไว้ หนึ่งในนั้นคือภาพวันแต่งงานของทั้งคู่ พ่ออยู่ในชุดสูท หนุ่มฟ้อและยังหุ่นดี ส่วนแม่สวยมาก ร่างบางอยู่ในชุดไทยสีเหลืองนวล ผมยาวถูกรวบเป็นหางม้ายกสูง พ่อยิ้มกว้าง ส่วนแม่อมยิ้มมุมปาก ย่ายืนอยู่ตรงกลาง ฉันจำได้, ในวัยที่ยังชอบเขียนบันทึก, ฉันเขียนถึงภาพถ่ายใบนี้ว่า ‘เห็นรูปถ่ายพ่อแม่แต่งงานกัน อยากถามพ่อกับแม่จัง วันนั้นเขารักกันเพราะอะไร’ ...
หลายคนคงเคยหลงดีใจเวลามีคนเข้ามาจีบ ว่าคนคนนั้นต้องคิดจริงจังกับเราแน่ๆ ทว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป ไม่งั้นสังคมเราคงไม่บัญญัติศัพท์คำว่า ‘แอ๊ว’ ขึ้นมาเพื่อใช้เรียกการจีบเลเวลเบาๆ หรอก ดังนั้น หากมีคนเข้ามาจีบคุณ อย่างน้อยที่สุด ก็ควรดูให้ถี่ถ้วนว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายจีบเพราะหวังอะไรกันแน่? เพราะในงานวิจัย ‘WHY DO WE FLIRT? : Flirting Motivations and...
ต้องยอมรับว่าความน่าสนใจของการจีบในยุคปัจจุบัน ก็คือเจ้าโซเชียลมีเดียนั้นมีลูกเล่นเยอะขึ้นกว่าเว็บไชต์หรือแชตยุคก่อนไปมาก มันเลยทำให้การจีบกันมีลูกเล่นเพิ่มมากขึ้น เช่น หากอยากให้เขารู้ว่าสนใจก็กดไลก์อีกฝ่ายทุกโพสต์ หรือใช้สติ๊กเกอร์ที่มีรูปหัวใจหรือรูปจูบไปให้เพื่อทำให้อีกฝ่ายเอะใจ นอกจากนี้ด้วยความที่โซเชียลมีเดียเชื่อมโยงผู้คนทั่วไปหมด มันเลยทำให้เกิดการตกหลุมรักกับคนที่ห่างไกลเกินกว่าจะรู้จักได้ในโลกความเป็นจริง ยกตัวอย่าง เราอาจจะตกหลุมรักบล็อกเกอร์ที่เราไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน หรือเราบังเอิญปิ๊งกับเพื่อนของเพื่อนที่เพื่อนเราก็ไม่เคยแนะนำให้รู้จัก แต่เฟซบุ๊กดันเด้งโพสต์คนนี้มาบน News Feed ของเรา แล้วเราก็บังเอิญได้แชตคุยกันจนเป็นแฟน เป็นต้น ซึ่งถ้าจะให้ไล่เรียงการจีบก็คงอธิบายไม่หวาดไม่ไหว เพราะสเต็ปการจีบของคนแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ดังนั้น...
คนเราอยู่ด้วยกันก็เหมือนลิ้นกับฟัน ที่จะต้องมีปากมีเสียงหรือมีเรื่องไม่พอใจกันเป็นธรรมดา แต่สำหรับคู่รักจำนวนไม่น้อย ปัญหาลิ้นกับฟันอาจถึงขั้นบานปลายใหญ่โตเป็นชนวนให้เลิกกันได้เลยทีเดียว ยกตัวอย่าง เพื่อนของเราคนหนึ่งเลิกกับแฟนด้วยเหตุผลทะเลาะกันบ่อย เพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนเลิกกันประมาณหนึ่งปี ช่วงนั้นเรียกว่านรกมากๆ เพราะทะเลาะกับแฟนแทบทุกอาทิตย์ เรื่องที่ทำให้ทะเลาะส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องอะไรใหญ่โต แต่เพราะพูดจาผิดหูเล็กๆ น้อยๆ แฟนก็พาลงอนและหาเรื่องทะเลาะ แถมเวลาทะเลาะกัน กว่าจะจบเรื่องได้ใช้เวลาเกือบ 3-4 ชั่วโมง บางทียกเอาเรื่องครั้งก่อนมาทะเลาะกันใหม่ต่ออีก จนสุดท้ายเพื่อนเราทนไม่ไหว...
เป็นกันบ้างไหม เวลาหมดรักใครสักคน หรืออยากตัดใจจากใครคนหนึ่ง คุณจะค่อยๆ เห็นข้อเสียของคนคนนั้นมากขึ้น แบบที่คุณถึงกับต้องถามตัวเองว่า “ทำไมถึงไม่เคยเห็นด้านนี้ของเขามาก่อน หรือฉันมัวแต่คิดอะไรไปเองวะ” จริงๆ ต้องบอกว่า ไม่ใช่คุณที่มองไม่เห็นข้อเสียหรือข้อที่ไม่เหมาะของคนที่แอบชอบมาก่อนหรอก แต่ต้องพูดใหม่ว่า จริงๆ คุณเห็นหรือรับรู้มาตลอด เพียงแต่ก่อนหน้านั้นหรือตอนที่ชอบคนคนนั้นมากๆ คุณไม่ยอมและไม่อยากจะสนใจข้อมูลด้านลบของเขาต่างหาก เรียกอีกอย่างว่า คุณเลือกที่จะมองข้ามไปนั่นเอง...