เคยมีไหม? ที่คุยอะไรกันแล้วรู้เรื่องกันอยู่สองคน หรือเคยมีไหม? ที่หันไปเจออะไร แล้วรีบไลน์หาเขา เพราะมันช่างเหมือนเรื่องที่เรากับเขาคุยกันเมื่อคืนก่อนเลย อย่างคู่รักคู่หนึ่งที่เรารู้จัก สองคนนี้จะมีคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนที่ไว้ใช้แทนอีกฝ่าย อย่างฝ่ายหญิงจะเป็นยูนิคอร์น ส่วนฝ่ายชายเป็นหมีบราวน์ ดังนั้น เวลาไปไหนก็ตาม ถ้าคนใดคนหนึ่งเห็นคาแรกเตอร์ประจำตัวของอีกคน ก็จะถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม พิมพ์แคปชันน่ารักๆ หวานๆ และแท็กแฟน ฉะนั้น เวลาสองคนนี้อยากหวานใส่กันจึงไม่ได้แค่ใช้การเรียกชื่อเท่านั้น แต่ยังเอาดีเทลที่ตกลงกันไว้มาสร้างความหวานแหววอีกด้วย...
เป็นกันบ้างไหม เวลาหมดรักใครสักคน หรืออยากตัดใจจากใครคนหนึ่ง คุณจะค่อยๆ เห็นข้อเสียของคนคนนั้นมากขึ้น แบบที่คุณถึงกับต้องถามตัวเองว่า “ทำไมถึงไม่เคยเห็นด้านนี้ของเขามาก่อน หรือฉันมัวแต่คิดอะไรไปเองวะ” จริงๆ ต้องบอกว่า ไม่ใช่คุณที่มองไม่เห็นข้อเสียหรือข้อที่ไม่เหมาะของคนที่แอบชอบมาก่อนหรอก แต่ต้องพูดใหม่ว่า จริงๆ คุณเห็นหรือรับรู้มาตลอด เพียงแต่ก่อนหน้านั้นหรือตอนที่ชอบคนคนนั้นมากๆ คุณไม่ยอมและไม่อยากจะสนใจข้อมูลด้านลบของเขาต่างหาก เรียกอีกอย่างว่า คุณเลือกที่จะมองข้ามไปนั่นเอง...
คุณเคยสังเกตหรือรู้สึกไหมว่าสื่อสังคมออนไลน์ทำให้เราหวั่นไหวเรื่องความรักมากขึ้น แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? ด้วยเทคโนโลยีสื่อสารยุคใหม่อย่างโซเชียลมีเดีย ไม่ได้ส่งผลแค่การสื่อสาร การเสพสื่อ หรือการทำธุรกิจเท่านั้น แต่เรื่องใกล้ตัวเราอย่างความรักและการจีบ ต่างก็มีความเกี่ยวข้องด้วยอย่างมีนัยสำคัญ จึงน่าสนใจไม่น้อยว่า โซเชียลมีเดียทำให้การจีบเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? แพลตฟอร์มออนไลน์ที่คนไว้จีบกันมีอะไรบ้าง? และใช้ยังไง? สื่อออนไลน์ช่วยให้คนจีบกันง่ายขึ้นหรือเปล่า? และที่สำคัญ มันแตกต่างกับการจีบกันในสมัยก่อนอย่างไร? ซึ่งคำตอบของคำถามต่างๆ เหล่านี้ เราจะมาอธิบายให้คุณได้เข้าใจ โดยอ้างอิงจากวิทยานิพนธ์และงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง...
เหล่าคู่รักที่คุณเห็น คุณอาจนึกว่าพวกเขาเหล่านั้นคบกันเพราะความรัก แต่ไม่ใช่ทุกคู่ที่รักกันหรอก บางคู่อยู่ด้วยกันเพราะสายใยที่พวกเขาจินตนาการขึ้นมาและทึกทักเอาเองว่านี่คือ ‘รัก’ แต่ความเป็นจริงพวกเขาแค่ใช้มันเป็นเหตุผลเพื่ออยู่ด้วยกัน ส่วนในแง่ความผูกพันทางใจ การแชร์ตัวตนข้างใน หรือการอินในกันและกันนั้นไม่มี ถ้าจะพูดอีกอย่าง ‘พวกเขาแค่อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้รักกัน’ หลายวันก่อนเราได้คุยกับก้อย (นามสมมติ) ก้อยกับเรารู้จักกันได้ไม่นาน แต่คุยกันอีท่าไหนไม่รู้ อยู่ๆ ก้อยก็เปิดใจเล่าเรื่องความรักของเธอให้ฟัง ว่าทุกวันนี้เธอมีเรื่องทุกข์ใจและเสียดายมากอยู่เรื่องหนึ่ง...
คนจำนวนไม่น้อยมักมองความสัมพันธ์ของตัวเองเป็นแบบปัจเจก หมายถึงถ้าคบใครมันก็เป็นเรื่องของเรากับอีกคน ส่วนคนอื่นไม่เกี่ยว แต่ถ้าว่ากันตามตรง มีตัวอย่างให้เห็นเยอะมากว่าคนอื่นนี่แหละตัวดีเลยที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ บางครั้งอาจถึงขั้นทำให้เลิกรากันได้เลย ไม่เชื่อก็ดูปัญหาระดับชาติอย่างแม่ผัว-ลูกสะใภ้ได้ หรือไม่ถ้าเพื่อนคุณไม่ชอบขี้หน้าแฟนของคุณขึ้นมา ก็เป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกัน ฉะนั้น เวลาคบใครก็ตาม เราไม่ได้คบแค่คนนั้นคนเดียว แต่คบเป็นแพ็กเกจคือ ครอบครัว เพื่อน และคนรอบข้างของเขา ในทางกลับกัน อีกฝ่ายก็ต้องเจอกับแพ็กเกจของฝั่งเราเช่นกัน ทีนี้ถ้าเป็นคนรักเพศเดียวกัน...
ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากได้ของไม่ดี ฉะนั้น หลายคนจึงหาวิธีช่วยให้ตัวเองตัดสินใจเลือกอะไรก็ตามได้ดีขึ้น เช่นเดียวกับคู่ครอง ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากมาเสียใจทีหลังว่า ตัวเองเลือกคู่ครองผิดคน มันเลยเกิดหลักคิดเรื่องการดูคนเยอะแยะมากมาย เช่น ดูว่าเขาเป็นคนกตัญญูรู้คุณคนหรือไม่ หรือถ้าเป็นทางพุทธศาสนาก็มีเกณฑ์ 4 ข้อ คือ ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา เสมอกัน แต่ทีนี้หลายคนอาจมองว่ามันกว้างไปหน่อย อยากได้หลักง่ายๆ...
คงไม่มีใครในโลกนี้ที่ชอบการรอ ยิ่งเป็นเรื่องความรักความสัมพันธ์ การรอดูจะเป็นเรื่องทรมานใจเป็นไหนๆ บางทีการรออาจทรมานยิ่งกว่าการยุติความสัมพันธ์เสียอีก เพราะมันกินระยะเวลานานและไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดและหน่วงอยู่ในใจ ไม่รู้เรื่องที่รอจะเกิดขึ้นจริงไหมและจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งแต่ละคนก็มีเรื่องให้รอแตกต่างกัน บางคนอดทนรอที่จะเจอคนที่ใช่เดินเข้ามาในชีวิต บางคนรอคนรักที่อยู่ห่างไกลกันจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง (โดยไม่ถูกพลัดพรากระหว่างทางเสียก่อน) บางคนรอคนรักที่กำลังพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวเพื่ออนาคตร่วมกัน หรือบางคนรอใครสักคนตอบรับรัก แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่ฟังดูดีเลย ดังนั้น การรอจึงเรียกได้ว่าเป็น ของขม ที่พ่วงติดมากับความรักความสัมพันธ์ทว่าการรอไม่ใช่สิ่งแย่หรอกนะ มันแย่ก็คือช่วงที่ต้องรอ แต่เหนือกว่านั้น...
ต้องยอมรับว่าความน่าสนใจของการจีบในยุคปัจจุบัน ก็คือเจ้าโซเชียลมีเดียนั้นมีลูกเล่นเยอะขึ้นกว่าเว็บไชต์หรือแชตยุคก่อนไปมาก มันเลยทำให้การจีบกันมีลูกเล่นเพิ่มมากขึ้น เช่น หากอยากให้เขารู้ว่าสนใจก็กดไลก์อีกฝ่ายทุกโพสต์ หรือใช้สติ๊กเกอร์ที่มีรูปหัวใจหรือรูปจูบไปให้เพื่อทำให้อีกฝ่ายเอะใจ นอกจากนี้ด้วยความที่โซเชียลมีเดียเชื่อมโยงผู้คนทั่วไปหมด มันเลยทำให้เกิดการตกหลุมรักกับคนที่ห่างไกลเกินกว่าจะรู้จักได้ในโลกความเป็นจริง ยกตัวอย่าง เราอาจจะตกหลุมรักบล็อกเกอร์ที่เราไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน หรือเราบังเอิญปิ๊งกับเพื่อนของเพื่อนที่เพื่อนเราก็ไม่เคยแนะนำให้รู้จัก แต่เฟซบุ๊กดันเด้งโพสต์คนนี้มาบน News Feed ของเรา แล้วเราก็บังเอิญได้แชตคุยกันจนเป็นแฟน เป็นต้น ซึ่งถ้าจะให้ไล่เรียงการจีบก็คงอธิบายไม่หวาดไม่ไหว เพราะสเต็ปการจีบของคนแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป ดังนั้น...
ถือเป็นเรื่องปกติเลยก็ว่าได้ เวลาคนเรารักใครชอบใคร ก็มักคาดหวังอยากให้อีกฝ่ายเป็นอย่างที่เราคิดหรือต้องการ เช่น อยากให้เขาชอบเราเหมือนที่เราชอบเขา อยากให้เขาแคร์เราเหมือนที่เราแคร์เขา แต่พอถึงตอนที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ทำให้น้อยใจ หงุดหงิด เจ็บปวด หรือไม่พอใจได้ อย่างเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เพื่อนเราคนหนึ่งโทร.มาปรึกษาเรื่องแฟนที่ระหองระแหงกัน เรื่องของเรื่องคือ ช่วงสองปีที่ผ่านมา เพื่อนเรารู้สึกว่าความสัมพันธ์กับแฟนไม่สนิทใจกันเหมือนแต่ก่อน นานวันเข้ายิ่งรู้สึกชัดว่าแฟนไม่เหมือนเดิม ทำให้ทะเลาะกันบ่อยมาก เรียกว่าแทบทุกครั้งที่คุยกันจะต้องทะเลาะกัน สุดท้ายก็เลยเปิดใจคุยกันกับแฟนเพื่อขอคำตอบว่าจะเอาไงต่อดี...
ทุกครั้งเมื่อเราพูดถึงความรักไม่ว่าจะในแง่มุมใด เรื่องของ ‘ความสัมพันธ์’ ก็มักจะถูกพูดถึงด้วยเสมอ จนเราเผลอจับความรักเข้าคู่กับความสัมพันธ์แล้วมองมันเป็นเรื่องเดียวกันอยู่บ่อยครั้ง นั่นเป็นเพราะความสัมพันธ์เป็นรากฐานของความรัก ดังนั้น ความรักและความสัมพันธ์จึงมีความข้องเกี่ยวต่อกันเสมอ ความคิดคุ้นชินนี้ทำให้เราลืมไปว่าในความเป็นจริงแล้ว ความรักก็คือความรัก และความสัมพันธ์ก็คือความสัมพันธ์ ตลอดช่วงชีวิตของมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงลมหายใจสุดท้าย นอกจากความต้องการทางร่างกาย หรือความต้องการในปัจจัยสี่ซึ่งทำให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แล้ว มนุษย์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความต้องการทางจิตใจด้วย เช่น ความรัก ความอบอุ่น ความรู้ ความสำเร็จ...
“ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่” แล้วถ้าไม่ดูหางและไม่ดูแม่ล่ะ! มีอย่างอื่นอีกไหมที่คนมักใช้เพื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร? หนึ่งในนั้นที่คนใช้สังเกตกันก็คือ สัตว์เลี้ยง เนื่องจากการเลี้ยงสัตว์เชื่อมโยงกับบุคลิกโอบอ้อมอารี ถ้าอีกฝ่ายเป็นคนรักสัตว์ ก็มีความเป็นไปได้ว่าเป็นคนจิตใจอ่อนโยน มีเมตตา อย่างในงานวิจัยปี ค.ศ. 2015 โดย ซามูเอล ดี....
คุณว่าคนเราเจอกันเพราะความบังเอิญหรือเพราะพรหมลิขิต? แน่นอนล่ะ ว่าบางอย่างอาจเรียกว่าบังเอิญก็เป็นได้ แต่ถ้าคุณได้รู้เรื่องราวการพบกันของคู่รักหลายคู่ หรือกระทั่งเรื่องราวต่อไปนี้ คุณอาจจะเทน้ำหนักเพิ่มขึ้นก็ได้ว่า การพบเจอกันของคนสองคนอาจเป็นอะไรที่มากกว่าความบังเอิญ ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน มีคู่รักชาวอเมริกันสองคู่เป็นคู่ดับเบิลเดต (double date) หรือพูดอีกอย่างคือ เป็นคู่แฟนสองคู่ที่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน ซึ่งทั้งสี่คนนี้สนิทสนมกันมาก แต่พอทั้งสองคู่ต่างแต่งงาน ก็แยกย้ายกันไปอยู่คนละรัฐและไม่ได้ติดต่อกัน จนผ่านมายี่สิบกว่าปี ทางคุณพ่อบ้านบ้านหนึ่งก็เริ่มติดต่อหาคุณแม่อีกบ้านหนึ่งเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบตามประสาเพื่อนเก่า หลังจากสองบ้านผลัดกันเล่าเรื่องชีวิตตัวเอง...